Monday, March 30, 2015

ความทุกข์ของคนถูกฝากซื้อของ เมื่อไปต่างประเทศ

ญี่ปุ่นเป็นอีกที่นึงที่เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่มีชื่อเสียงของคนไทย เนื่องจากมีผลิตภัณฑ์แปลกๆ คุณภาพดีเยี่ยม ราคาถูกกว่าในเมืองไทย เวลาใครไปญี่ปุ่นจึงต้องเตรียมงบไว้สำหรับช้อปปิ้งด้วย สินค้าที่เป็นที่นิยมกันก็คือ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง เสื้อผ้าแบรนด์ญี่ปุ่น ขนม ฯลฯ ส่วนใหญ่บริษัทญี่ปุ่นจะผลิตสินค้าออกมา 2 ชนิด คือแบบที่ขายในญี่ปุ่นเท่านั้น ไม่มีขายที่ประเทศอื่น (คือให้คนญี่ปุ่นใช้กันเอง) กับแบบที่ส่งขายเฉพาะต่างประเทศ เวลาคนมาเที่ยวญี่ปุ่นก็มันจะซื้อสินค้ารุ่นที่มีขายเฉพาะญี่ปุ่นเท่านั้น นัยว่ามันต้องดีกว่ารุ่นที่ขายต่างประเทศชัวร์ แต่หารู้ไม่ จริงๆคุณภาพทั้งสองแบบมันไม่ได้ต่างกันเลย เพียงแต่โมเดลที่ขายในญี่ปุ่นจะอำนวยความสะดวกให้คนญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งไม่อำนวยความสะดวกให้คนต่างชาติเลยซักนิด เช่นอุปกรณ์พวกกล้องถ่ายรูป กล้องวีดีโอ คอมพิวเตอร์ เอากล้องถ่ายรูปกับกล้องวีดีโอก้อน ยกตัวอย่างยี่ห้อโซนี่โมเดลที่ขายใน ญี่ปุ่น เมนูในกล้องและคู่มือจะเป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว ไม่มีภาษาอังกฤษ ซอฟแวร์ที่มาในกล่องก็เป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียว เมื่อก่อนกล้องยังบันทึกลงม้วนเทปก็สามารถเล่นได้แต่โทรทัศน์ระบบ NTSC เท่านั้น เล่นระบบ PAL ของเมืองไทยไม่ได้ การรับประกันก็จะซ่อมได้แค่ที่ญี่ปุ่นเท่านั้น แต่โมเดลญี่ปุ่นนี้จะถูก ถ้าเราต้องการเมนู คู่มือ ซอฟแวร์อังกฤษ ก็ต้องเพิ่มตังอีกเป็นหมื่นเยนเพื่อซื้อโมเดลต่างประเทศ ส่วนคอมพิวเตอร์ที่ญี่ปุ่นไม่ถูก แต่มีฟังค์ชั่นเยอะและมีดีไซน์ที่สวยงาม เล็ก เบา แต่เมื่อเอามาใช้งานในเมืองไทยแล้วฟังค์ชั่นพวกนั้นจะไม่สามารถใช้งานได้ ก็คือเสียตังเปล่า เช่น Felica port ใช้จ่ายเงินแบบ Near Field Communication (NFC) คือเอาบัตรหรือโทรศัพท์แปะลงบนคอมพิวเตอร์เวลาซื้อของออนไลน์ หรือเช็คว่าตั๋วรถไฟเหลือเงินเท่าไหร่ก็แปะบนคอมเช็คยอดเงินได้ หรือฟังค์ชั่นทีวีบนคอม ตอนนี้ประเทศญี่ปุ่นออกอากาศทีวีเป็นระบบดิจิตอลทั้งประเทศแล้ว และสามารถดูทีวีได้บนมือถือโดยจะเป็นระบบแบบ 1-seg (วันเซ็ก) ซึ่งระบบนี้มีแค่ประเทศญี่ปุ่นและอีก 5 ประเทศในอเมริกาใต้ใช้ เพราะฉะนั้นถ้าซื้อคอมพิวเตอร์ที่ดูทีวีได้มา มันก็จะใช้ที่เมืองไทยไม่ได้ อีกอย่างถ้าซื้อคอมพิวเตอร์ที่ญี่ปุ่น เค้าจะบังคับซื้อวินโดว์ญี่ปุ่นด้วยเลย จะมาบอกว่าซื้อแต่เครื่อง ไม่เอาระบบปฏิบัติการแล้วเอามาลงของเถื่อนเองไม่ได้ วินโดว์ภาษาญี่ปุ่นเราก็ใช้ไม่ได้ ใครเก่งคอมก็บอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวเอามาลงวินโดว์อังกฤษเองได้ คิดผิดซะแล้ว ลงหน่ะลงได้ แต่ไดร์เวอร์มันหาไม่ค่อยได้ ถ้าเป็นไดร์เวอร์พวกเมนบอร์ด หรือการ์ดจอ หรือการ์ดเสียงก็อาจจะพอหาได้ แต่ไดร์เวอร์อย่างเช่นทัชแพดหรือปุ่มฟังค์ชั่นต่างๆบนคีย์บอร์ด อันนี้ต้องโหลดจากบริษัทผู้ผลิตคอมอย่างเดียวซึ่งจะลงได้ก็ต่อเมื่อเป็นวินโดว์ญี่ปุ่นเท่านั้น สรุปแล้วซื้อมาแพงแต่ใช้ได้ไม่เต็มที่

ต่อไปก็พวกเครื่องสำอาง อันนี้ซื้อที่ญี่ปุ่นถูกกว่าไทยจริง คุณภาพโอเคเลย แต่อย่างที่บอก อยากได้เครื่องสำอางรุ่นนี้ แต่ในญี่ปุ่นไม่มีขาย ต้องดูที่คุณสมบัติและส่วนประกอบ เอาที่คล้ายๆกัน

เกริ่นมานาน สิ่งที่อยากจะระบายให้ฟังในบทนี้คือความทุกข์ของการถูกฝากซื้อของ คนที่มาญี่ปุ่นเองแล้วซื้อเองก็ไม่มีปัญหา อยากได้อะไร ไม่ชอบแบบไหน เลือกเองได้ตามใจ เงินก็เงินของตัวเอง แต่ที่มีปัญหาคือคนที่ไม่ได้ไปแต่ฝากคนที่ไปซื้อของให้ ฟังดูแล้วก็ไม่น่ามีอะไร ของราคาเท่าไหร่ก็จ่ายเงินไปเท่านั้นจบ แต่เบื้องหลังจริงๆมันไม่ใช่อย่างนั้น คนที่ฝากซื้อของส่วนใหญ่จะเช็คดูจากเวปก่อนว่าราคาเท่าไหร่ในญี่ปุ่น แล้วก็จะเลือกร้านที่ราคาถูกสุด มีรุ่นน้องเรียนที่ญี่ปุ่น ตอนกำลังจะกลับไทยน้องของแฟนฝากซื้อเครื่องสำอาง หาร้านที่ราคาถูกสุดพร้อมส่งแผนที่ให้ ร้านอยู่ในโตเกียวเหมือนกัน แต่มันอยู่คนละมุมเมืองกันเลย เหมือนเราอยู่ฝั่งธน แต่ร้านอยู่หนองจอก น้องก็บอกว่ามันไกลจะขอเบิกค่ารถไฟด้วย น้องของแฟนก็ไม่พอใจอีก เหมือนว่าทำไมต้องมาคิดเล็กคิดน้อย หารู้ไม่ว่าราคาค่ารถไฟไปกลับหน่ะเกือบพันบาท

อีกอย่างเรื่องฝากตังซื้อ จะมีอยู่สองประเภทคือให้ซื้อมาก่อน ถ้าได้ของแล้วค่อยจ่ายตัง ถ้าไม่ได้ก็นจะได้ไม่ว่ากัน จบกันไป อีคนแบบนี่ก็น่าด่า สมมติว่าเราเตรียมเงินไปใช้ 20,000 บาท แต่มีคนแบบนี้ฝากซื้อของ 5,000 บาท เราก็จะเหลือตังที่ใช้ได้แค่ 15,000 บาท จะให้เราเอาไปมากกว่านี้ก็ไม่มี เพราะมีงบมาแค่นี้ มันเรื่องอะไรที่ต้องเจียดเงินเราไปใช้ซื้อของให้คนอื่นก่อน แล้วคนที่ฝากก็ไม่ได้มีคนเดียวอีก เคยเจอคนฝากบอกว่างั้นก็รูดบัตรเคตดิตซื้อไปก่อนซิ แล้วคนฝากก็ลืมคิดไปว่ารูดบัตรต่างประเทศบริษัทบัตรเครดิตจะคิดค่าธรรมเนียมการรูด 3% ค่าเปลี่ยนสกุลเงินอีก  3% แล้วตรงนี้ใครจ่าย แต่คนที่ฝากไม่ได้คิดถึงข้อนี้ คิดแต่ว่าทำไมรับฝากของฉันคนเดียวไม่ได้ หาว่าเรางกอีก อีกประเภทดีหน่อย รู้ว่าเราจะต้องลำบากออกเงินก่อน เลยเอาเงินมาให้ก่อนเดินทางเลย ดูเหมือนจะดีอีกแล้ว เช่นรู้ว่าอีกสองสัปดาห์กำลังจะไป อยากได้ของราคา 10,000 เยน เลยเอาเงินสดมาให้ 3,500 บาท ในอัตราแลกเปลี่ยนวันนั้น สมมติว่า 100 เยน 35 บาท พอวันเดินทางค่าเงินขึ้นเป็น 100 เยน 40 บาท ซึ่งถ้าเราไปแลกช่วงนั้น ของจะราคา 4,000 บาท ก็ต้องไปทวงตังเพิ่มอีก 500 บาท บางคนก็ดี ยอมรับ แต่บางคนก็เริ่มมีตะขิดตะขวงใจบ้างเล็กน้อย สงสัยว่าเราจะเอากำไรรึเปล่า เดี๋ยวนี้ผมเลยใช้วิธีให้คนที่ฝากซื้อไปแลกเป็นเงินสกุลนั้นๆมาเลย เช่นถ้าจะฝากซื้อของ 10,000 เยน ก็ให้ไปแลกเป็นเงินเยนมา 10,000 เยนเลย หมดปัญหาเรื่องอัตราแลกเงินขึ้นๆลงๆ

จะมีร้านค้าอีกแบบคือร้านค้าออนไลน์ ขายกันเฉพาะในเน็ตอย่างเดียวเท่านั้น ผมเคยซื้อของครั้งนึง ตอนนั้นยังไม่มั่นในร้านในเน็ตเท่าไหร่ กลัวจ่ายตังไปแล้วไม่ได้ของ เลยหาที่อยู่ของร้าน แล้วนั่งรถไฟไปที่ร้านเองเลย ที่ร้านไม่มีหน้าร้านวางของโชว์ เป็นสำนักงานปกติ บอกว่าจะมาซื้อของ เค้าบอกว่าไม่ขายหน้าร้าน ต้องสั่งผ่านหน้าเวปเท่านั้น อุตส่าห์มาถึงร้านต้องตัวเองแล้ว ต้องกลับบ้านไปสั่งจากทางหน้าเวปแล้วให้ส่งของมาทางไปรษณีย์ การซื้อของจากเวปราคาจะถูกกว่าก็จริง แต่มันก็ต้องมีค่าโน่นนี่อีกนิดหน่อย เช่นค่าส่งของจากบริษัทมาบ้านเรา ก็จะมีหลายแบบให้เลือก พัสดุเก็บเงินปลายทาง หรือส่งแบบธรรมดา แบบด่วน ราคาก็ต่างกันไป บางร้านราคาของอาจแพงกว่าร้านอื่นแต่ค่าส่งฟรี ถ้าคิดรวมๆกันแล้วร้านที่แพงกว่าอีกหน่อยอาจถูกกว่าอีกร้านที่ของราคาถูกแต่ต้องเสียค่าส่ง นอกจากนั้นก็ยังมีค่าโอนตัง เวลาซื้อของเราจะต้องโอนตังเข้าบัญชีของร้านก่อน พอร้านได้ตังแล้วค่อยส่งของให้เราภายใน 3 วัน ค่าโอนตังถ้าบัญชีของร้านเป็นธนาคารเดียวกับเราก็ไม่ต้องเสีย แต่ถ้าเป็นคนละธนาคารก็ต้องเสียอย่างต่ำ 105 - 315 เยน บางคนเข้าไปดูขายของในเวปแล้วส่งเวปให้เราซื้อให้ตามเวปโดยที่ไม่รู้เลยว่าเราต้องเสียค่าโน่นนี่อะไรเพิ่มอีก

สุดท้ายคือเรื่องน้ำหนัก เวลาขนกลับส่วนใหญ่จะได้น้ำหนักกันคนละประมาณ 20 กิโล ของของคนที่ฝากซื้อก็มากินน้ำหนักกระเป๋าเราอีก กางเกงยีนส์ 1 ตัวก็ 1 กิโลเข้าไปแล้ว ยังเครื่องสำอางครีมโน่นนี่อีก ของที่ถูกฝากปาเข้าไปเกือบ 5 กิโล เราไปเที่ยวก็อยากซื้อของมาใช้มากินเอง ไหนจะเสื้อผ้าที่ขนไปถ่ายรูปก็เยอะอยู่แล้ว สรุปขนของตัวเองกลับมาได้นิดเดียว

มันก็เหมือนใจดำอยู่นิดๆนะว่าทำไมฝากซื้อของแค่นี้มันยุ่งยากนักเหรอไง ของที่ฝากก็ไม่ได้เยอะ แต่จากเหตุผลที่เล่ามาให้ฟังแล้วคิดว่าผู้ที่คิดจะฝากซื้อของคงคิดอะไรได้บ้างว่าต้องฝากยังไงไม่ให้คนรับฝากลำบาก ส่วนตัวผมเองเรื่องรับฝากไม่มีปัญหาถ้าไม่ลำบากตัวเอง เช่น มีที่ว่างและน้ำหนักกระเป๋าเหลือพอ จะต้องผ่านร้านที่ซื้อพอดี ไม่ใช่ต้องนั่งรถไปไกลๆเพื่อซื้อของที่รับฝากมาอย่างเดียว สุดท้ายก็เรื่องเงิน ไม่เข้าใครออกใคร ก็อยากจะให้คนฝากคิดให้ละเอียดบ้างว่าคนที่รับฝากต้องมีค่าใช้จ่ายอะไรนอกเหนือจากราคาสินค้าบ้าง และทำเรื่องเงินให้เคลียร์กันทั้นสองผ่าน เท่านี้คุณก็ได้ของตามที่ต้องการในราคาที่ถูกกว่าเมืองไทยและคนรับฝากก็ไม่เดือนร้อนอะไร แฮปปี้กันทั้งสองฝ่าย