Wednesday, April 29, 2015

แพลน ดูฟูจิที่ Hakone แบบไปเช้าเย็นกลับ


งบประมาณ: 9,000 เยนต่อคน (ผู้ใหญ่) รวมค่ายานพาหนะทั้งหมดไปกลับจากสถานี Shinjuku, ค่าอาหารกลางวัน, อาหารเย็น, ไข่ดำ ไม่รวมค่าของที่ระลึกและขนมจุบจิบ

ตั๋ว Hakone Freepass
ให้ซื้อตั๋ว Hakone Freepass ของรถไฟสาย Odakyu (โอดะคิว) ที่สถานี Shinjuku ราคา ผู้ใหญ่ 5,140 เยน เด็ก 1,500 เยน (ใช้ได้ 2 วัน แต่ตามแผนนี้ใช้แค่วันเดียว เมื่อกลับถึง Shinjuku แล้วบัตรจะหมดอายุทันทีถึงแม้จะมีวันเหลืออีกก็ตาม) เป็นตั๋วที่ขึ้นยานพาหนะใน Hakone ได้ฟรีแบบไม่อั้น ตั๋วนี้จะมีคูปองลดราคาค่าเข้าสถานที่ต่างๆ ร้านขายของที่ระลึกให้ด้วย

ตั๋วนี้ใช้ได้กับ
รถไฟไปกลับแบบธรรมดาจาก สถานี Shinjuku ถึง สถานี Hakone-Yumoto ถ้าอยากนั่งรถ Romance car ต้องเพิ่มตังอีก 890 เยนต่อเที่ยว ในตัวอย่างแพลนนี้จะขาไปจะนั่งรถแบบธรรมดา ส่วนขากลับจะนั่ง Romance car ดูตารางรถ Romance car ได้จากที่นี่ ในตัวอย่างนี้ขากลับจะจอง Romance car รอบ 19:23 จากสถานี Hakoneyumoto เนื่องจากรถขบวนนี้เป็นขบวนที่ตกแต่งสวยที่สุด ได้รับรางวัลดีไซน์อะไรไม่รู้มาแล้วด้วย เป็นรถรุ่น 50000 VSE ตัวรถสีขาว ถ้าเป็นไปได้จองที่หน้าสุดหรือหลังสุดจะมองเห็นวิวแบบ 180 องศาเนื่องจากไม่มีห้องคนขับบัง (ห้องคนขับอยู่ชั้นบน) รถขบวนนี้ในตารางเวลา ตรง Car model จะเป็นสัญลักษณ์ตัว V

การซื้อตั๋ว Hakone Freepass และจองรถ Romance car สามารถจองได้จากเค้าเตอร์ Odakyu Sightseeing Service Center ของรถสาย Odakyu ในสถานี Shinjuku หรือซื้อจากเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ
ตารางเวลาของรถ Romance car ดูได้จากที่นี่

แผนที่การเดินทาง


*ในตัวอย่างนี้จะเป็นตารางเวลาสำหรับวันธรรมดา ถ้าไปวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดต้องเช็คตารางเวลาเดินรถอีกที

เริ่มออกเดินทาง
ลงจาก Ropeway ไปขึ้นเรือโรจสลัด ท่าเรืออยู่ชั้นล่างของสถานี ดูตารางเรือได้ที่นี่ หน้าร้อนหน้าหนาวเวลาจะต่างกัน ต้องเช็คเวลาก่อนไป
8:04 รถไฟออกจากสถานี Shinjuku สาย Odakyu ขบวน Odakyu Odawara Line Exp. มุ่งหน้าไปยัง Odawara (18 ป้าย)
9:36 ถึงสถานี Odawara
เปลี่ยนขบวนรถไปชานชลาตรงข้าม
9:45 รถไฟ Hakone Tozan Railway มุ่งหน้าไปยัง Hakoneyumoto
10:01 ถึงสถานี Hakoneyumoto
ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเที่ยวใน Hakone แล้ว
เปลี่ยนรถไฟเป็นสาย Hakone Tozan Railway อีกขบวน
10:11 รถไฟออกจากสถานี Hakoneyumoto
รถไฟขบวนนี้จะวิ่งซิกเซคขึ้นเขา สามารถชมวิวจากรถไฟได้
10:49 ถึงสถานี Gora
ลงรถแล้วเปลี่ยนไปขึ้น Cable car
Cable car จาก Gora ถึง Sounzan
Ropeway
10:53 Cable car ออกจากสถานี Gora (5 สถานี)
11:03 ถึงสถานี Sounzan
เปลี่ยนไปขึ้นกระเช้า Ropeway
11:11 นั่งกระเช้าจากสถานี Sounzan (Ropeway จะออกเรื่อยๆไม่มีตารางเวลา ถ้ามีคิวยาวก็ต้องขึ้นรอบที่ช้ากว่านี้)
สามารถมองเห็นวิวเมืองจากที่สูงได้สวยงาม
*จุดที่เป็นไฮไลท์ตรงนี้คือ ตอนที่ Ropeway เคลื่อนขึ้นไปจนถึงสันเขา จะมองเห็นภูเขาฟูจิขนาดใหญ่ทันที วิวตรงนั้นจะสวยงามมาก มองลงไปข้างล่าง(สูงมาก)ก็จะเห็นบ่อกำมะถันมีควันคลุ้งไปหมด ตรงนี้กดรูปไปเยอะๆเลย
11:19 ถึงสถานี Owakudani (หุบเขานรก)
ในสถานีมีร้านขายของที่ระลึก ขายผลไม้ ใครอากชิมผลไม้ญี่ปุ่นที่อร่อยๆก็หาซื้อกันได้ที่นี่
ออกจากสถานีอย่าเพิ่งรีบร้อนถ่ายรูปฟูจิ เพราะมันจะเห็นรถจอดเต็มไปหมด เดี๋ยวมีที่สวยๆให้ถ่าย
มองจากที่จอดรถหน้าสถานีขึ้นไปจะเห็นมีกระท่อมควันขึ้น ตรงนั้นคือที่ต้มไข่ดำ
เดินตามคนหมู่มากขึ้นเขาไปยังกระท่อมหลังนั้น
ถึงกระท่อมซื้อไข่ดำถุงละ 500 เยน มี 6 ฟอง (ตอนนี้ราคาอาจขึ้นอีกนิดหน่อย) มีเกลือให้ในถุงเลย
ไข่ดำจริงๆก็คือไข่ธรรมดา แต่เอาไปต้มในบ่อน้ำกำมะถันข้างๆกระท่อม เปลือกเลยกลายเป็นสีดำ เชื่อกันว่าทานไข่ดำ 1 ฟองจะอายุยืนขึ้นอีก 7 ปี แต่ตามหลักวิทยาศาสตร์ สารกำมะถันเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ แต่ทำไมถึงทานไข่ที่ต้มในกำมะถันแล้วถึงอายุยืน มันน่าจะอายุสั้นลงมากกว่าเพราะได้รับสารพิษเข้าไป แต่ผมก็กินนะ กินไปเป็นสิบลูกแล้ว จนตอนนี้อายุผมเกิน 150 ปีไปแล้ว

ถ่ายรูปฟูจิบนนี้สวยมาก
เค้าว่ากันว่าฟูจิขี้อายมาก จะไม่ค่อยได้เห็นกันบ่อยๆ บางวันต่อให้อากาศดี ฟ้าใส แต่บนยอดฟูจิก็เมฆบัง และส่วนมากอากาศจะไม่ค่อยดดเท่าไหร่ ถ้าใครเห็นต้องรีบถ่ายรูปทันที บางทีเห็นแค่ยอด 10 นาที เมฆก็มาบังอีก เค้าถึงบอกว่าใครไปแล้วเห็นยอดฟูจิถือว่าโชคดี ยิ่งถ้าไปครั้งแรกแล้วเห็นนี่โชคดีสุดๆ

กลับลงมาที่หน้าสถานีข้างล่าง มีร้านขายของขายขนมและร้านอาหาร
แวะทานอาหารก่อน
เมนูที่แนะนำคือ ราเมนเส้นดำ 800 เยน คือที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องไข่ดำ เพราะฉะนั้นอะไรก็แล้วแต่ก็จะทำเป็นดำๆ
ทานอิ่มแล้วมีกำลังก็ไปกันต่อ

13:20 ขึ้น Ropeway ที่สถานี Owakudani มุ่งหน้าไปทาง Togendai
Ropeway เส้นนี้จะยาวและสูงมาก และจะเห็นฟูจิเต็มๆตาอีกครั้งในมุมสูงพร้อมทั้งทะเลสาบ Ashi
Ropeway จะจอด 1 สถานี ไม่ต้องลง นั่งต่อไปจนถึงสถานีปลายทางเลย
13:36 ถึงสถานี Togendai
13:50 เรือออกจากท่าเรือ Togendai
ระหว่างอยู่บนเรือ ชมวิวทิวทัศน์สองฝั่ง จะผ่าน ข้างบนดาดฟ้าเรือลมแรง และหนาวมาก ควรเตรียมเสื้อผ้าหนาๆไป
14:20 เรือถึงท่าเรือ Hakone-machi-ko (Hakone-machi port)
ออกจากท่าเรือแล้วเลี้ยวขวาเดินไปประมาณ 450 เมตร ถึง Hakone checkpoint museum

Hakone checkpoint museum มี.ค.-พ.ย. เปิดเวลา 9:00-17:00 (ธ.ค.-ก.พ. เปิดถึง 16:30)
ใช้บัตร Hakone Freepass ลดราคาค่าเข้าเหลือคนละ 400 เยน เด็ก 150 เยน
สมันก่อนคนที่เดินทางระหว่างเกียวโตและโตเกียวจะต้องผ่านจุด Checkpoint แห่งนี้ ข้างในพิพิธภัณท์จัดแสดงข้างของเครื่องใช้ในการตรวจลงตรา และวิถึชีวิตคนญี่ปุ่นโบราณ
16:00 กลับมาขึ้นบัสหน้าท่าเรือ Hakone-machi-ko ขึ้นคันที่มุ่งหน้าไป Hakoneyumoto
รถเมล์มีหลายสาย ถ้าขึ้นคันที่เป็น Express ก็จะไปถึงเร็วกว่าคันที่เป็นรถธรรมดา ให้ดูว่าคนหมู่มากขึ้นคันไหนก็น่าจะเป็นคันนั้น แต่ดูป้ายข้างรถ confirm กับคนขับอีกทีว่าไป Hakoneyumoto station ไม๊
17:00 (ไม่น่าเกินเวลานี้) ถึงสถานี Hakoneyumoto
ไปแช่องเซนคลายเมื่อยกันดีกว่า
แนะนำองเซนชื่อ Yajikita no yu เส้นทางไป เดินจากที่ลงรถบัสหน้าสถานี Hakoneyumoto ย้อนลงไปทางใต้ตามถนนใหญ่เรื่อยๆจนเขอร้าน 7-11 เข้าซอยเล็กๆตรงนั้นแล้วตรงไปนิดเดียวถึงเลย
องเซนอันนี้มีแบบ Outdoor ด้วย ราคาไม่เกิน 1,000 เยน



ออกจากองเซน เดินเล่นร้านขายของหน้าสถานี หรือหาอาหารเย็นทาน
19:23 นั่งรถ Romance car ออกจากสถานี Hakoneyumoto
20:57 กลับถึงสถานี Shinjuku

ของที่ระลึก
- Hakone woodwork เป็นเครื่องใช้ไม้สอยที่ทำจากไม้ต่างสีเอามาเรียงต่อกันเป็นลวดลาย มีทั้งพวงกุญแจ กล่องกล ที่รองแก้ว ฯลฯ

- สัญลักษณ์ไข่ดำ มีหลายอย่างเช่น ขนมแป้งนิ่มๆที่ทำเป็นรูปไข่ดำ พวงกุญแจคิตตี้ไข่ดำ ฯลฯ

คลิป Hakone แบบไปเช้าเย็นกลับ

ติดตามคลิปการท่องเที่ยวของบีหรุซังได้บน Youtube
https://www.youtube.com/user/TheNaoki

Tuesday, April 21, 2015

เช่าบ้านหรือดาวน์บ้านกันแน่เนี่ย

ที่พักอาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ ในเมื่ออยู่ต่างแดน ไม่มีบ้านอยู่ ก็ต้องหาเช่าที่ซุกหัวนอน แต่การเช่าที่ซุกหัวนอนซักที่มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆและถูกๆเลย

ถ้าเป็นนักเรียนแล้วอยู่หอพักของมหาวิทยาลัยก็จะไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรมาก แต่สมัครแล้วก็เข้าอยู่ได้เลย แต่เนื่องจากจำนวนห้องพักมหาวิทยาลัยมีไม่เพียงพอกับจำนวนนักศึกษา เลยต้องมีการจับสลากหรือมีเงื่อนไขในการสมัคร ถ้าใครที่ไม่ตรงตามเงื่อนไขหรือจับสลากไม่ได้ก็ต้องไปหาบ้านเช่าเอาเอง

การเช่าบ้านในญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะหาจากบริษัทนายหน้าเช่าบ้าน เรียกว่า ฟุโดซังยะ (ฟุโดซัง = อสังหาริมทรัพย์ ยะ = ร้าน) ขั้นแรกเข้าไปในร้านก็แจ้งความประสงค์ว่าต้องการห้องแบบไหน ทำเลไหน ราคาประมาณไหน เค้าก็จะจัดรายละเอียดตามความต้องการมาให้ดูซัก 2-3 ห้อง ราคาห้องส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับความใกล้ไกลสถานี ถ้าเป็นสถานีที่รถไฟทุกประเภทจอดยิ่งใกล้ยิ่งแพง บางสถานีมีเฉพาะรถไฟหวานเย็น(แบบ local)จอด ราคาบ้านแถวนั้นก็จะถูก บางที่ไม่มีสถานีอยู่ใกล้ๆ ต้องนั่งบัสไปยิ่งถูก เราขอให้พนักงานพาเราไปดูสถานที่จริงก่อนตัดสินใจก็ได้ ดูว่าแสงเข้าไม๊ตัวห้องสามารถกันความหนาวได้ไม๊ หน้าร้อนจะร้อนไม๊ อันนี้สำคัญ สักษณะห้องของญี่ปุ่นก็มี 1R (one room) คือห้องแบบสตูดิโอ ข้างในโล่งๆไม่มีอะไรกั้นห้องเลยยกเว้นห้องน้ำ, 1K มี 1 ห้องนอนและกั้นครัวให้เป็นสัดส่วน (K = Kitchen), 1DK มี 1 ห้องนอนห้องกินข้าว (Dining room) และครัว, 2DK มี 2 ห้องนอนพร้อมห้องกินข้าวและครับ, 2LDK ก็จะเหมือน 2DK แต่เพิ่มห้องนั่งเล่น (Living room) อพาตเมนต์ส่วนใหญ่จะไม่มีที่จอดรถ ถ้าจะจอดต้องหาเช่าที่จอดรถเอง

พูดถึงราคาห้องบ้าง ห้องแบบสตูดิโอมาตราฐานสำหรับคนที่อยู่คนเดียวจะมีพื้นที่ 9-16 ตร.ม. บางห้องมีห้องน้ำและห้องอาบน้ำในตัว บางห้องมีเฉพาะส้วม ต้องไปแชร์ห้องอาบน้ำกับคนอื่น หรือบางห้องไม่มีทั้งส้วมทั้งห้องอาบน้ำเลย(อันนี้จะถูกมาก ประมาณ 2-3 หมื่นเยนต่อเดือน) แต่ขอพูดถึงห้องที่มีครบแล้วกัน ถ้าอยู่ในใจกลางโตเกียวอย่างถูกๆก็จะประมาณ 6-8 หมื่นเยน ถ้าอยู่ชานเมืองก็จะราวๆ 4-6 หมื่นเยน ค่าเช่ารายเดือนก็ว่าแพงแล้วนะ มาเจอค่าที่ต้องจ่ายก่อนเข้าอยู่อีก อันนี้ถึงกับเป็นลมไปเลย ก่อนเข้าอยู่เราต้องจ่ายเงินค่าอะไรบ้างมาดูกัน ค่ามัดจำ 1-2 เดือนค่าเช่าล่วงหน้า 1 เดือนค่าขอบคุณ 1-2 เดือนค่าทำความสะอาด 35,000 เยนค่าประกัน 15,000-20,000 เยนค่าค้ำประกัน 25,000 เยนค่านายหน้า 1 เดือนค่าภาษี 5% ของราคาห้อง

มัดจำกับค่าเช่าล่วงหน้าอันนี้ปกติ เช่นจ่ายค่าเช่าที่จ่ายตอนสิ้นมีนาจะเป็นของ 1-30 เมษา ค่ามัดจำปกติจะ 1-2 เดือน แต่บางที่ไม่คิดเลยก็มี จะได้คืนตอนย้ายออก ส่วนค่าอื่นๆมันพิศดาลจริงๆไม่รู้คิดกันได้ยังไง ค่าขอบคุณ อันนี้รู้จักกันในนามค่าแป๊ะเจี๊ยะ คือให้เปล่า แต่เค้าจะกำหมดมาเลยว่าต้องให้เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 1-2 เดือน แต่บางที่ไม่ต้องเสียค่าขอบคุณก็มี ที่มาของค่าขอบคุณที่เคยได้ยินมา สมัยก่อนช่วงสงครามโลกบ้านเมืองถูกทำลายเยอะมาก ที่อยู่ไม่ค่อยพอ ถ้ามีใครให้เช่าบ้านก็จะรู้สึกเป็นพระคุณเลยมีการจ่ายเงินให้เพื่อเป็นการขอบคุณ แต่มาถึงสมัยนี้ค่าขอบคุณก็ยังคงมีอยู่ แต่มันกลายเป็นธุรกิจไปแล้ว ค่าทำความสะอาดอันนี้แล้วแต่ที่ บางที่เรียกเก็บตอนแรกเลย บางที่จะหักจากค่ามันมัดจำตอนย้ายออก เค้าจะจ้างบริษัททำความสะอาดมาทำห้องให้ใหม่กิ๊กเลย ค่าประกันมีไว้เผื่อทำไฟใหม้ น้ำรั่วอะไรประมาณนี้ ค่าค้ำประกันจ่ายในกรณีที่หาคนค้ำประกันไม่ได้ ฟุโดซังก็จะหาบริษัทค้ำประกันมาค้ำให้เรา ค่านายหน้าอันนี้เสียให้กับฟุโดซัง

ยกตัวอย่างห้องราคา 5 หมื่นเยน ตอนแรกเข้าต้องเสียมัดจำ,ล่วงหน้า,ค่าขอบคุณ,ค่านายหน้าอย่างละ 5 หมื่น ทำความสะอาด 35,000 ประกัน 15,000 ภาษี 2,500 รวมทั้งสิ้นต้องจ่าย 252,500 เยนถึงจะเข้าอยู่ได้ ถ้าอยู่ได้ซักพักแล้วอยากย้ายก็ย้ายได้ แต่จะได้คืนเฉพาะค่ามันจำเท่านั้น แล้วต้องเสียค่าเริ่มต้นแพงๆแบบนี้ให้ที่ใหม่อีก จำต้องตัดสิ้นใจดีๆตั้งแต่ตอนแรกเลย ไม่ใช่คิดว่าอยู่ไปก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยหาที่ใหม่ เพราะมันแพงมาก แต่ตอนผมหาที่อยู่ให้เพื่อนก็จะต่อราคาแล้วต่ออีก เช่น ขอไม่ต้องเสียค่าขอบคุณ ค่าค้ำประกันเดี๋ยวให้อาจารย์ค้ำให้ ค่าประกันเดี๋ยวไปทำเอาที่มหาวิทยาลัย(ถูกกว่าเยอะ)

พอเราเลือกห้องที่ชอบได้แล้วก็ถึงขั้นตอนการทำสัญญา ฟุโดซังยะจะบอกให้เราหาคนค้ำประกันมาเซ็นต์สัญญา ถ้าเป็นนักเรียนก็จะให้อาจารย์หรือแผนกนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเป็นคนค้ำให้ ถ้าให้อาจารย์เป็นคนค้ำ ต้องขอใบรับรองเงินเดือน และใบรับรองตราปั๊มชื่อเป็นเอกสารในการค้ำประกัน ถ้าให้แผนกนักศึกษาค้ำจะต้องไปทำประกันกับสหกรณ์ก่อนมหาวิทยาลัยถึงจะค้ำประกันให้ (สำหรับมหาวิทยาลัยที่ผมอยู่นะ) ประกันที่ทำกับสหกรณ์ก็คือประกันที่อยู่อาศัย เช่นทำไฟใหม้ ทำน้ำรั่ว ประกันก็จะจ่ายให้ พอหาคนค้ำได้แล้วฟุโดซังก็จะโทรไปคอนเฟิร์มกับทางคนค้ำ แล้วก็จะออกหนังสือสัญญามาให้ แล้วให้เราเอาไปให้คนค้ำประกันเซ็นต์ แล้วเอาหนังสือสัญญากลับมาให้ฟุโดซัง เค้าก็จะอ่านสัญญาทุกข้อให้เราฟัง คือทำให้เราเข้าใจทุกข้อในสัญญาก่อนแล้วค่อยให้เราเซ็นต์ชื่อ รายละเอียดก็มีเช่น จะต้องแจ้งก่อนล่วงหน้า 1 เดือนถ้าจะออก ห้ามตอกตะปูในห้อง ห้ามเอาห้องให้คนอื่นเช่าต่อ ฯลฯ หนังสือสัญญาจะมีสองชุดเหมือนกัน ชุดนึงเก็บไว้ที่เรา อีกชุดเก็บไว้ที่ฟุโดซัง แล้วก็จ่ายตังเป็นอันเสร็จ

นอกจากค่าเช่าแล้วบางที่ยังมีค่าส่วนกลางอีก ส่วนมากก็เดือนละ 3,000 เยน สัญญาบ้านส่วนใหญ่จะแค่ 2 ปีเท่านั้น คือเราสามารถอยู่ได้ 2 ปี ออกก่อนได้ แต่ถ้าอยากอยู่ต่อก็จะต้องเสียค่าต่อสัญญาเท่ากันราคาเช่า 1 เดือน ตอนที่ผมอยู่มีเพื่อนให้ช่วยหาบ้านเช่าให้ ผมก็ให้เพื่อนมาเช่าอยู่ที่อพาตเมนต์เดียวกัน จะได้แชร์อินเตอร์เน็ตใช้กันด้วย ทีนี้ก็เหมือนกับผมช่วยเจ้าของตึกหาลูกค้า แถมยังช่วยเป็นล่ามให้ระหว่างเพื่อนกับเจ้าของตึกอีก เวลามีปัญหาอะไรเจ้าของตึกก็จะวานผม เวลาต่อสัญญาก็เลยคุยกับเจ้าของตึกว่าขอลดค่าเช่า เค้าก็ตกลง เลยได้ที่อยู่ราคาไม่แพง แถมบางครั้งช่วยต่อให้เพื่อนด้วยเนื่องจากติดต่อโดยตรงกับเจ้าของตึก ไม่ผ่านฟุโดซังเลยไม่ต้องเสียค่านายหน้าอีก
ใบโฆษณาและรายละเอียดของห้องนี้

ตัวอย่างใบประเมิณราคาของห้อง


นี่หรือที่คนญี่ปุ่นเรียกว่าขยะ

ตอนนี้ขอพูดเรื่องขยะล้วนๆ ใครที่คิดว่า ก็แค่ขยะทิ้งไปซิ ถ้าเป็นที่ไทยคงทิ้งไม่ยาก ก็แค่เอาขยะเดินไปใส่ถังขยะก็จบ แต่ถ้าอยู่ญี่ปุ่นจะมีคำถามต่อท้ายว่า “เอ่อ แล้วจะทิ้งยังไงล่ะ” อยู่นอกบ้านไม่มีถังขยะ จะโยนใส่ถนนก็ใช่ที่เพราะถนนก็สะอาดมาก อยู่ที่บ้าน ขยะพวกนี้ต้องทิ้งแบบไหน ทำไงดีล่ะ

คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับเรื่องขยะมาก รณรงค์เรื่องลดโลกร้อนมาก ทรัพยากรณ์อันไหนนำกลับมาใช้ใหม่ได้ก็เอาไปรีไซเคิล อันไหนต้องทำลายก็ต้องทำลายให้เสียสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด ขยะที่นี่จะต้องแยกประเภทแล้วแต่เขตจะกำหนด ส่วนใหญ่จะมีขยะเผาได้ ขยะเปียก(เศษอาหาร) พลาสติก หนังสือเก่าๆ โลหะ แก้ว เสื้อผ้า ขยะอันตราย แต่ละเขตมีการกำจัดขยะที่ต่างกัน บางเขตรวยหน่อยก็จะมีเครื่องกำจัดที่เผาขยะได้หลายประเภท บางเขตงบน้อยเครื่องจะเผาไม่ได้ทุกประเภทก็จะต้องแยกย่อยลงไปอีก เช่นบางเขตสามารถทิ้งพลาสติกลงลงในถังสำหรับขยะที่เผาได้ บางเขตต้องแยกพลาสติกไว้ต่างหาก ทิ้งแยกกับขยะที่เผาได้

แต่ละเขตจะมีวันทิ้งขยะที่ต่างกัน ขอปฏิทินขยะได้จากสำนักงานเขต แล้วต้องใส่ถุงขยะแยกสีตามที่เขตกำหนดเท่านั้น ถุงขยะของแต่ละเขตมีขายที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตและร้านสะดวกซื้อ การทิ้งขยะ เราต้องถอดขยะออกเป็นชิ้นๆแล้วทิ้งแยกประเภท เช่นถ้ามีพลาสติกหุ้มกระดาษ ก็ต้องแกะเอาพลาสติกทิ้งในถังขยะพลาสติก เอากระดาษทิ้งในขยะเผาได้ ส่วนถ้าเป็นกล่องอาหารพลาสติก ทานเสร็จแล้วต้องล้างให้สะอาดแล้วค่อยทิ้ง เคยเจอถังขยะพลาสติกบางเขต ขยะสะอาดมากเหมือนของใหม่เลย จะเอากล่องข้าวทิ้งไม่กล้าทิ้งเพราะกล่องข้าวในถังขยะเหมือนถูกล้างด้วยน้ำยาล้างจานมาก่อน ขนาดขวดโค้กใสๆยังต้องถอดฝา ขอบฝา และพลาสติกหุัมขวดไปทิ้งส่วนที่เป็นพลาสติก ให้เหลือแต่ขวดใส่ๆแล้วเอาน้ำแกว่งๆในขวดให้สะอาดแล้วถึงจะทิ้ง กล่องนมก็ต้องเทน้ำออกให้หมดแล้วล้างน้ำเปล่า และพับกล่องให้แบนถึงจะทิ้งได้

ตอนไปอยู่ใหม่ๆก็มักง่าย คิดว่าทิ้งๆไปเถอะไม่มีใครรู้หรอก มีอยู่วันนึงเจ้าของหอมาเคาะห้องบอกว่าให้แยกขยะเวลาทิ้งด้วย เพราะเจ้าหน้าที่จะไม่เก็บขยะที่ไม่แยก ทำให้ที่ทิ้งขยะที่หน้าหอเต็ม อ้าวแล้วรู้ได้ไงว่ามันเป็นของเรา เค้าหยิบถุงมาม่าที่มีภาษาไทยให้ดู ทั้งหอมีคนไทยคนเดียวรู้เลยว่ามาจากไหน

ส่วนขยะที่เป็นชิ้นโตๆหรืออุปกรณ์อิเล็คโทรนิคก็ต้องไปเสียเงินค่าทิ้งที่เขตก่อน บอกว่าจะทิ้งของอะไรใหญ่ขนาดไหน เค้าก็จะคำนวนราคามาให้ แล้วก็ให้สติ๊กเกอร์เอามาแปะที่ของถึงจะทิ้งได้ ทีนี้คนญี่ปุ่นชอบเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ ชุดจานชาม เครื่องใช้ไฟฟ้าบ่อย แล้วเวลาได้ของใหม่มาก็ไม่มีที่เก็บ จะทิ้งก็เสียตัง บางคนเลยเอาไปขายกับรถรับซื้อของเก่า หรือร้านขายของมือสอง ถึงแม่จะได้ราคาต่ำมากแต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องเสียเงินทิ้ง ร้านขายของมือสองก็เอาไปทำความสะอาดให้ดูใหม่แล้วขายต่อในราคาที่ไม่แพงมาก เวลาเพื่อนคนไหนเรียนจบจะกลับประเทศก็จะเริ่มถามคนรู้จักแล้วว่าจะเอาเครื่องซักผ้า ตู้เย็น ทีวี โน่นนี่นั่นไม๊ ถ้าไม่มีใครเอาก็ต้องเอาไปขายหรือไม่ก็บริจาคให้หน่วยงานช่วยเหลือนักศึกษาของมหาวิทยาลัย

ในมหาวิทยาลัยจะมีบริเวณสำหรับทิ้งขยะ แน่นอนว่าจะต้องมีที่ทิ้งขยะอิเล็คทรอนิกซ์ด้วย ถ้าใครไม่รังเกียจว่าเป็นขยะก็สามารถไปคุ้ยเอากลับมาใช้ได้ ขยะอิเล็คทรอนิกซ์ในมหาวิทยาลัยนี่ไม่ใช่เป็นของที่พังทั้งหมด บางครั้งอาจารย์มีงบซื้อของเข้าแลปใหม่ ของเก่าไม่ได้ใช้แล้วก็โยนทิ้งทั้งๆที่มันยังดีๆอยู่ ผมเคยได้ทีวีดิจิตอล 46 นิ้วมาเครื่องนึง ทีวีอันนี้ใช้สำหรับเวลามีงานก็จะเปิดวีดีโอการทดลองให้แขกดู ปีนึงได้โชว์แค่ครั้งสองครั้ง แต่ตอนหลังๆชุดทดลองอันนี้มันไม่เวิร์คแล้ว ทีวีเลยไม่ได้ใช้ ก็เลยทิ้ง สภาพใหม่เอี่ยม หรือจะเป็นปริ้นเตอร์ หรืออุกกรณ์ไฮเทคต่างๆ สภาพยังดีๆทั้งนั้น ในหอพักของมหาวิทยาลัยก็เหมือนกัน มักจะมีเครื่องใช้ต่างๆมาให้ได้หยิบกันฟรีๆ เพราะเจ้าของจะย้ายหอหรือกลับประเทศ แต่ไม่รู้จะให้ใคร เลยเอาไปแอบทิ้ง ได้หม้อหุงข้าวอย่างดี ลำโพง โต๊ะ ฯลฯ ประหยัดตังได้หลาย

ปีใหม่ญี่ปุ่น

พูดถึงปีใหม่ ถ้าเป็นบ้านเราก็ต้องมีงานฉลองรื่นเริงต่างๆเช่น เค้าท์ดาวน์ จุดพลุ งานประดับไฟที่ต่างๆ ฯลฯ แต่ถ้าใครหวังที่จะไปดูงานเหล่านี้ช่วงปีใหม่คงฝันสลาย เพราะมันตรงกันข้าม ที่บ้านเราจะครึกครื้น แต่ที่ญี่ปุ่นจะเงียบมากๆ ขนาดย่านชินจุกุ ถ้าเป็นวันปกติคนจะเดินกันขวักไขว่ แต่วันปีใหม่แทบนับคนได้เลย งั้นจะขอเล่าให้ฟังแล้วกันว่าตอนปีใหม่ (เอาเป็นช่วงปีใหม่แล้วกัน) ว่าคนญี่ปุ่นเค้าทำอะไรกันบ้าง

วันปีใหม่จะเป็นวันที่คนในครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ทุกคนจะกลับไปอยูกับครอบครัวที่บ้านเกิดแทบทั้งนั้น เหมือนกับเทศกาลสงกรานต์บ้านเรา เพราะฉะนั้นก็จะต้องมีการเตรียมอาหารที่จะกินกันในวันปีใหม่ ผู้คนก็จะไปแห่กันซื้อของสด เครื่องปรุง สาเก มาไว้ที่บ้าน ถ้าในโตเกียว ที่ที่นิยมก็คือตลาดปลาทซึคิจินั่นเอง ที่นี่ถ้าไปช่วงวันที่ 20 กว่าๆเดือนธันวาตอนเช้าๆจะเหยียบกันตาย แน่นมากจนไม่มีทางเดิน เพราะตลาดที่นี่ของสด ราคาก็ไม่ถือว่าถูกมากแต่ได้คุณภาพ ในตลาดนอกจากจะมีของทะเลสดๆก็มีอุปกรณ์เกี่ยวกับการกินขายอีกเช่นมีด จานชาม เครื่องประดับตกแต่งจาน ฯลฯ เลือกซื้อกันให้หนำใจผมจะไปช่วยครอบครัวคุณยายหิ้วของเกีอบทุกปี ของที่ซื้อมาก็จะเอามาทำเป็นอาหารชุดปีใหม่ไว้กินกันในบ้านเป็นเวลา 3 วัน เพราะคนญี่ปุ่นเค้าจะไม่ทำงานบ้าน รวมถึงไม่ทำอาหารด้วยเป็นเวลา 3 วัน อาหารชุดปีใหม่เรียกว่า โอะเซทจิเรียวหริ (Osechi ryouri)
 

อาหารปีใหม่ที่ว่านี้ถ้าใครไม่อยากทำก็ซื้อหาได้ตามซุปเปอร์มาเก็ต จะถูกหรือแพงก็แล้วแต่เลือก บางชุดราคาเป็นหมื่นๆบาทเลยก็เคยเห็น อาหารที่อยู่ในชุดก็จะมี คุโรมาเมะหรือถั่วดำใหญ่ ไข่เจียวหวานม้วน คามาโปโกะหรือลูกชิ้นปลาหั่นเป็นแว่นๆ ไข่ปลาคะซึโนะโกะ ปลาไท ฯลฯ อาหารแต่ละชนิดก็จะมีความหมายของตัวมันเอง นอกจากการเตรียมอาหารแล้วยังทำความสะอาดบ้านกันยกใหญ่ เรียกว่าโอโซจิ (Oosouji) เครื่องถ้วยชามเก่าๆก็จะเอามาทิ้งกัน ทำความสะอาดหิ้งบูชาพระ ฯลฯ

ก่อนถึงวันปีใหม่คนญี่ปุ่นก็นิยมส่งสคส.ปีใหม่ให้กันและกันด้วย สคส.อันนี้ไม่ใช่เป็นการ์ด แต่เป็นไปรษณียบัตร เรียกว่าเน็งงะโจ (Nengajou) เป็นการเขียนเพื่อระลึกถึงผู้รับ วิธีการเขียนก็จะมีรูปแบบไม่มากเช่น ขอบคุณมากสำหรับความกรุณาเมื่อปีที่แล้ว ปีต่อไปก็ขอความกรุณาอีก หรือจะเป็นขอให้สุขภาพแข็งแรง ประมาณนี้ บางคนก็ใส่รูปถ่ายครอบครัวลงไปด้วย การส่งเนงงะโจจะต้องส่งแต่เนิ่มๆ ไปรษณีย์จะกำหนดวันสิ้นสุดของการส่งทุกปี ถ้าส่งทันภายในกำหนด ไปรษณีย์จะเก็บรวบรวมไว้ก่อน ผู้รับก็จะได้รับเนงงะโจวันที่ 1 มกราคมตอนเช้า แต่ถ้าเลยกำหนดก็จะกลายเป็นไปรษณียบัตรธรรมดา

มาถึงวันสิ้นปี 31 ธันวาคม จะมีคนอยู่สองกลุ่ม กลุ่มที่อยู่กับครอบครัวที่บ้านและกลุ่มที่ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนนอกบ้าน แต่กลุ่มที่อยู่กับครอบครัวเยอะกว่ามาก หัวค่ำก็จะมีรายการพิเศษเช่นโดราเอม่อนตอนพิเศษ ละครตอนพิเศษเป็นต้น แต่ช่อง NHK จะมีรายการที่ชื่อว่า โคฮะคุอุตะ (Kouhaku uta) แปลเป็นไทยคือเพลงขาวแดง รายการนี้จะเชิญนักร้องหรือวงดนตรีที่มีชื่อเสียงในหนึ่งปีที่ผ่านมามาร้องโชว์ในรายการ บางทีเชิญนักร้องต่างประเทศมาก็มี หรือไม่ก็ถ่ายทอดสดมาจากต่างประเทศก็มี นักร้องจะถูกจัดให้อยู่ในทีมสีขาวหรือสีแดง แล้วก็จะร้องโต้กันแล้วให้คนดูโหวดว่าชอบฝ่ายไหนมากกว่า ฝ่านนั้นก็จะได้รางวัลไปตอนท้ายรายการ เหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าทุกบ้านต้องดูรายการนี้คืนวันสิ้นปี รายการจะจบประมาณ 23:45 อีก 15 นาทีจะถ่ายทอดสดบรรยากาศการไหว้พระครั้งแรกจากวัดทั่วญี่ปุ่น ช่วงนี้บรรดาแม่บ้านก็จะเริ่มเตรียมโซบะข้ามปี เรียกว่าโทชิโคชิโซบะ (Toshikoshi soba) จริงๆแล้วก็คือโซบะเย็นธรรมดานั่นแหละ แต่ตั้งชื่อให้ดูเข้ากับบรรยากาศ ทุกคนก็จะกินโซบะอันนี้กันตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืนข้ามไปจนเลยเที่ยงคืน เป็นนัยว่ากินโซยะจะได้อายุยืนยาวเหมือนเส้น

มาดูบรรยากาศของคนที่อยู่นอกบ้านกันบ้าง บรรดาวัยรุ่นที่ไปงานเค้าท์ดาวน์ตาผับตามบาร์ก็มี แต่ตามลานใหญ่ๆไม่ค่อยเห็นนะ ส่วนใหญ่จะไปเค้าท์ดาวน์กันที่วัดหรือศาลเจ้ามากกว่า ไปต่อคิวเข้าศาลเจ้ากันตั้งแต่หัวค่ำ บางศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงเช่นศาลเจ้าเมจิต่อกันเป็นกิโล เพื่อที่จะได้มาไหว้พระครั้งแรกของปี เรียกว่าฮัทซึโมเดะ (Hatsumoude) การไปวัดหรือศาลเจ้าก็จะเอาเครื่องลางอันเก่าที่บ้านมาทิ้งในวัด แล้วซื้อเครื่องลางอันใหม่เข้าบ้าน เครื่องลางก็เช่นธนู ยันต์ต่างๆ ตุ๊กตาล้มลุก(ดารุหมะ) แล้วก็อาจฟังพระสวดให้พร

บางคนไม่อยากไปต่อคิวยาวๆท่ามกลางความหนาว 0 องศาข้างนอกตอนกลางคืนก็อาจไปตอนเช้าวันที่ 1 มกราคมแทนได้ ตอนเช้าตื่นมาทุกบ้านจะได้รับเน็งงะโจเป็นปึก ก็จะมานั่งอ่านกันว่ามีใครส่งมาหาบ้าง แล้วก็ทานอาหารปีใหม่กับสาเก วันนี้ถ้าออกไปข้างนอกจะเงียบมาก ร้านค้าจะปิดกันเกือบทุกร้าน ตอนกลางคืนญาติๆก็จะมารวมตัวกันกินเลี้ยงรวมญาติประมาณนี้

เช้าวันที่ 2 มกราคนจะเป็นวันที่นักช้อปรอคอยมาก ร้านแต่ละร้านจะทำถุงฟุคุบุคุโระ (Fukubukuro) หรือเรียกว่าแฮปปี้แบ๊กนั่นเอง ถุงนี้จะเป็นสีแดงเขียนตัวอักษรคันจิด้วยสีขาวว่า ฟุคุ แปลว่าความสุข ในถุงก็จะมีสินค้าหลายชิ้นซึ่งผู้ซื้อจะไม่รู้ว่าเป็นอะไร แต่มูลค่าจะเกินกว่าราคาที่ขาย เช่นถ้าซื้อถุงละ 5,000 เยน ของในถุงอาจมีมูลค่า 10,000 เยนเป็นต้น ได้ของเกินราคาอยู่แล้วแต่จะลุ้นว่าของที่ได้จะถูกใจเราหรือเปล่าเท่านั้น ถ้าเป็นร้านเสื้อผ้าก็จะระบุว่าถุงนี้เป็นของผู้ชาย size M หรือถ้าร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าก็จะระบุเป็แผนกเช่น แผนกคอมพิวเตอร์ แผนกกล้อง แผนกเครื่องเสียง แผนกเครื่องใช้ภายในบ้าน มีเพื่อนเคยซื้อถุงฟุคุบุคุโระที่ร้านคิตตี้ราคา 1,050 เยน ได้ที่ห้อยโทรศัพท์มา 20 อัน ราคาปกติอันละ 525 เยน บางร้านอาจเริ่มขายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ต้องดูประกาศของทางร้าน ห้างบางห้างเช่นที่ฮาราจุกุมีคนไปต่อคิวกันตั้งแต่ตอนกลางคืน คิวยาวเป็นกิโลเลยเหมือนกันเพื่อจะได้เข้าไปซื้อของจากแผนกที่อยากได้ เพราะของหมดแล้วหมดเลย

วันที่ 2 มกราคมนอกจากจะช้อปแล้วจักพรรดิจะออกมาอวยพร ให้ประชาชนเข้าไปฟังคำอวยพรได้ถึงในพระราชวังอิมพีเรียล จักรพรรดิพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์จะออกมา 3 รอบคือ 9:00, 10:00, และ 11:00 ออกมาครั้งนึงประมาณ 5 นาที ถ้าใครอยากเข้าเฝ้าอยู่แถวหน้ามีเคล็ดลับ ให้เข้ารอบ 9:00 หรือรอบ 10:00 ก่อน รอบนี้อาจได้อยู่ติดขอบพระราชวัง แต่พอรอบนี้เสร็จแล้วคนจะทยอยออก เราก็ไปยืนอยู่แถวหน้ารอชมพระบารมีรอบต่อไปอยางใกล้ชิด จริงๆเราสามารถเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิได้ 2 ครั้งต่อปี คือวันที่ 23 ธันวาคม เป็นวันคล้ายวันประสูติ และวันที่ 2 มกราคม อวยพรเนื่องในวันปีใหม่

รถไฟปู๊นๆ

ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่ามีการคมนาคมทางรถไฟที่แสนสะดวกและมีประสิทธิภาพเป็นอันดับต้นๆของโลก ระบบรถไฟมีเคลือข่ายคลอบคลุมทุกพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นภายในจังหวัดหรือระหว่างจังหวัด ยิ่งในเมืองใหญ่ๆรถไฟสามารถเขาถึงชนิดว่าเดินอย่างมากไม่เกิน 15 นาทีก็สามารถขึ้นรถไฟได้ การเดินรถตรงตามเวลาเป๊ะ ถ้าอยากจะไปต่างจังหวัดก็นั่งรถไฟหัวกระสุน (ชินคังเซน) แป๊ปเดียวถึง

รถไฟชินคังเซนแปลเป็นภาษาไทยว่า “เส้นทางสายใหม่” เป็นของบริษัท Japan railways (JR) เริ่มมีใช้ในญี่ปุ่นปีค.ศ. 1964 เนื่องจากตอนนั้นญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิค เลยอยากนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆให้เกิดขึ้น ณ ช่วงนั้น เช่นการถ่ายทอดสดข้ามทวีปเป็นครั้งแรกของโลก รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ชินคังเซนเป็นรถไฟที่มีความเร็วสูงใช้วิ่งระหว่างจังหวัด เช่นรถขบวนโนโซมิจะวิ่งด้วยความเร็วประมาณ  300 กม./ชม. (เป็นความเร็วในการให้บริการ สามารถเร่งความเร็วได้มากกว่านี้ในการทดสอบ) วิ่งจากโตเกียวไปโอซาก้าในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเทียบกับเครื่องบินจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย แต่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปสนามบินนอกเมือง เช็คอินก่อน 2 ชั่วโมง กว่าจะออกมาจากสนามบินแล้วเข้าเมืองอีก ขึ้นชินคังเซนเร็วและสะดวกกว่าเยอะ ชินคังเซนจะไม่เหมือนรถไฟธรรมดา ทุกระบบของตัวรถและรางจะถูกออกแบบใหม่หมด รางที่ชินคังเซนวิ่งจะเป็นคนละรางกับรถไฟทั่วไป ความหรูหราภายในห้องโดยสารก็นับว่าเยี่ยมมาก ยิ่งถ้าเป็น gran class อย่างรถฮายาบุสะแล้วล่ะก็เปรรยบเสมืองชั้น first class ของเครื่องบินเลย ชินคังเซนถูกออกแบบมาให้รองรับกับสถานการณ์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นระบบละลายหิมะบนราง ระบบหยุดรถอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเช่นแผ่นดินไหว ฯลฯ ชินคังเซนเลยถือว่าเป็นยานพาหนะที่มีความปลอดภัยสูงมากกว่าเครื่องบินเสียอีก

ลงจากชินคังเซนแล้วมาต่อกันที่รถไฟธรรมดาบ้าง รถไฟแบบนี้ก็จะมีวิ่งระหว่างจังหวัดบ้าง (แต่ช้ามาก) วิ่งภายในเมืองบ้าง ที่อยากจะเล่าคือรถไฟที่วิ่งในเมือง โดยเฉพาะในโตเกียว รถไฟในโตเกียวก็มีหลายบริษัท เช่น JR, Metro รถใต้ดิน, และรถไฟสายเอกชน ระบบเน็ตเวิร์ครถไฟจะมีสายเอกชนหลายสายวิ่งจากรอบนอกเมืองทุกทิศทุกทางเข้าสู่ใจกลางกรุงโตเกียว ส่วนใจกลางกรุงโตเกียวจะมีสายหลักๆคือ JR Yamanote (ยามาโนเตะ) เส้นสีเขียว เป็นวงกลมรอบใจกลางเมือง และมีสาย JR Chuo (ชูโอ) เส้นสีส้ม วิ่งจากต่างจังหวัดเข้ามาในโตเกียวและผ่ากลางวงกลมยามาโนเตะ แล้วก็มีรถไฟใต้ดินหลายสายวิ่งทั่วใจกลางกรุงโตเกียว รถไฟใต้ดินก็สร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนพื้อพรุนไปหมดแล้ว ชั้นใต้ดินของตึกใหญ่ๆในโตเกียวส่วนมากจะมีทางเชื่อมต่อไปยังสถานีรถใต้ดินได้ ย่านใหญ่เช่นชินจุกุจะมีเมืองอีกชั้นอยู่ใต้ดิน เวลาฝนตกหรืออากาศหนาวมากๆ เดินใต้ดินก็สามาถไปทะลุอีกที่นึงได้ ถ้ามีสายรถไฟสายใหม่เกิดขึ้นก็ต้องขุดให้ลึกลงไปกว่าสายเดิมอีก บางสายลึกเท่าตึกสิบชั้นเลยก็มีเช่นสายโอเอโดะ ใต้ดินของพื้นที่ใจกลางกรุงโตเกียวจะมีรถไฟวิ่งผ่านหมดยกเว้นพระราชวังอิมพีเรียลเท่านั้นที่ใต้ดินไม่มีรถไฟวิ่ง รถทุกสายจะต้องออกแบบให้อ้อมพระราชวัง

เวลาขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นก็มีมารยาทที่ควรปฏิบัติดังนี้ ไม่คุยหรือเปิดเพลงเสียงดังรบกวนผู้อื่น ห้ามคุยโทรศัพท์บนรถไฟ แต่เล่นเน็ตหรือส่งข้อความได้ ไม่ต้องลุกให้คนแก่หรือเด็กหรือผู้หญิงนั่ง คนแก่ที่อยากนั่งจะไปนั่งที่ Priority seat เอง เคยมีเพื่อนลุกให้คุณยายนั่ง โดนด่าด้วยสายตาว่าเห็นฉันแก่หรือไงเนี่ย ถ้าถือของพะลุงพะลัง ควรเอาของวางไว้ที่ชั้นเหนือศรีษะ ไม่ควรวางเกะกะกับพื้นยกเว้นของที่ยกขึ้นไปไม่ได้จริงๆเช่นกระเป๋าเดินทาง ไม่ควรนั่งกินที่

รถไฟญี่ปุ่นได้ชื่อเรื่องความตรงต่อเวลามาก ออกตรงเข้าสถานีตรงเวลาเป๊ะเว่อร์ ไม่มีมาถึงก่อนเวลาหรือออกช้าแม้แต่นาทีเดียว จะไปไหนก็หาจากอินเตอร์เน็ตก่อนว่าออกกี่โมงถึงกี่โมง สบายใจเรื่องเวลาได้เลยไม่ต้องกลัวว่าจะช้า จะไม่สามารถอ้างได้ว่ารถไฟมาช้าเด็ดขาด จะมีช้าก็ต่อเมื่อมีแผ่นดินไหว อุบัติเหตุ และคนฆ่าตัวตายบนรางรถไฟ ส่วนใหญ่ที่ช้าจะเป็นกรณีหลังสุดซะมากกว่า ถ้ามีเหตุการณ์รถไฟช้า ทางสถานีจะต้องออกเอกสารรับรองว่ามีเหตุทำให้รถไฟช้าจริงๆ สามารถใช้เอกสารนี้ยืนยันได้ เช่นถ้ามีสอบแล้วไปสายเนื่องจากเกิดเหตุแล้วมีเอกสาร ก็จะอนุโลมให้เข้าสอบได้

พูดถึงคนฆ่าตัวตายบนรางรถไฟ มีสถิติการฆ่าตัวตายแบบนี้ปีละ 33,000 คน เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในรถไฟที่ต้องหยุดวิ่งจะรู้สึกรำคาญมากกว่าเห็นใจ เหมือนว่าฆ่าตัวตายกันอีกแล้วหรือเนี่ย เป็นเหมือนสิ่งธรรมดาที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ พอเกิดเหตุรถไฟจะหยุดวิ่งเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ และให้พนักงานสถานีรถไฟเก็บศพ (ญี่ปุ่นไม่มีมูลนิธิร่วมกตัญญูคอยเก็บศพ) ต้องรีบเคลียร์รางให้เร็วที่สุด ช้าไม่ได้เพราะยิ่งช้าบริษัทรถไฟยิ่งเสียหายเยอะ ในโตเกียวมีคนใช้บริการรถไฟประมาณวันละ 20 ล้านคนคนจะใช้บริการเยอะช่วง 7-9 โมงเช้า และหลังเลิกงานไปจนถึงรถเที่ยวสุดท้าย ถ้ามีคนฆ่าตัวตายตอนดึกๆ รถไฟอาจต้องหยุดวิ่งไปเลยสำหรับวันนั้นๆ ผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟก็ต้องกลับบ้านกันด้วยรถบัส หรือรถแท๊กซี่ รถบัสก็มีไม่มาก ยิ่งดึกยิ่งมีน้อย คนทุกคนเลยต้องกลัวแท๊กซี่ ค่าแท๊กซี่ก็แพงเหลือเกินนังกันทีเป็นพันบาท ถ้าบ้างไกลก็สองสามพันบาท แต่ค่าแท๊กซี่เราจ่ายตังไปก่อนแล้วเอาบิลไปเบิกที่สถานีของสายที่หยุดวิ่งวันรุ่งขึ้นได้ อันนี้ถือเป็นความรับผิดชอบที่ดีมากของระบบรถไฟ ที่บอกว่าเสียหายเยอะก็น่าจะเป็นเรื่องนี้แหละ คิดดูบริษัทรถไฟต้องจ่ายให้คนละเป็นพันบาท แล้วรถไฟขบวนนึงยาว 12 โบกี้ แล้วมีกี่ขบวนที่ต้องหยุดวิ่ง คิดไม่ออกเลยว่ามีกี่หมื่นกี่แสนคน เพราะฉะนั้นบริษัทรถไฟก็จะไปเก็บค่าปรับกับครอบครัวของคนที่ฆ่าตัวตายอีกทีนึง สายที่มีคนฆ่าตัวตายเยอะสุดคือสายที่วิ่งผ่ากลางวงกลม สายชูโอนั่นเอง สายนี้จึงมีชื่ออีกอย่างนึงว่า suicide line (สายฆ่าตัวตาย) มีคนตั้งข้อสังเกตว่ามี 2 สาเหตุก็คือ สายนี้จะเป็นสายที่วิ่งตรงและมีรถด่วนวิ่งเยอะ ทำให้รถวิ่งได้ด้วยความเร็ว รับประกันว่าตายชัวร์ อีกข้อนึงคือค่าปรับที่ครอบครัวต้องเสียให้บริษัทจะถูกกว่าสายอื่น แต่ถ้าใครที่ทะเลาะกับพ่อแม่แล้วฆ่าตัวตายก็จะไปฆ่ากันที่วงยามาโนเตะ เพราะอยู่ใจกลางเมือง ค่าปรับแพงมหาโหด

พูดเรื่องหวาดเสียวไปแล้ว มาพูดเรื่องแปลกๆของรถไฟมั่ง เรื่องที่คนในโลกนี้ได้ยินมาคงไม่พ้นเรื่องการผลักคนเข้ารถไฟ อันนี้คอนเฟิร์มว่าผลักกันจริง อย่างที่บอกว่าเวลาเร่งด่วนตอนเช้าคือ 7-9 โมง คนจะออกไปทำงานพร้อมๆกันทำให้รถไฟแน่นเป็นปลากระป๋อง (จริงๆปลากระป๋องยังมีเนื้อที่ให้ใส่เครื่องเทศได้เยอะกว่า) ถ้าเป็นที่อื่น แน่นก็รอขบวนต่อไปซิ แต่ขอบอกว่าขนาดรถยามาโนเตะมาทุกๆ 2 นาทีช่วงเวลาเร่งด่วนมันก็ยังแน่นอยู่เหมือนเดิม ถ้าจะรอไม่ให้แน่นก็คงต้องไปทำงานสาย รถไฟรุ่นใหม่ๆจะออกแบบเก้าอี้ให้พับเก็บได้ เวลาเร่งด่วนจะไม่มีเก้าอี้ให้นั่งนอกจาก priority zone (โซนสำหรับคนแก่ คนท้อง คนเจ็บ คนพิการ) เวลาเร่งด่วนนี้จะมีคนรอที่ชานชลาจนล้นไปอีกชั้นนึงก็มี เคยไปสถานีชิบุย่าตอนชั่วโมงเร่งด่วน บันไดเลื่อนต้องปิด เพราะคนล้นชานชลาขึ้นไปอีกชั้น กว่าจะลงไปได้ ที่ชานชลาจะมีเส้นเหลือเหมือน BTS ห้ามยืนล้ำเส้นเหลือง แต่เนื่องจากเวลานี้ที่ยืนไม่มีแล้ว เลยยืนเบียดๆจนล้ำเส้นออกมา จะมีเจ้าหน้าที่สถานีมายืนชิดขอบชานชลาเพื่อคอยกันคนไม่ให้โดนรถไฟ (แต่เจ้าหน้าที่เองก็อยู่ห่างจากรถไฟไม่ถึงคืบ) รถไฟที่วิ่งเข้าชานชลาเลยต้องวิ่งด้วยความเร็วที่ต่ำสุดๆ พอๆกับการเดินเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย พอรถไฟเปิดประตู คนก็กรูกันเข้าไป แต่เนื่องจากข้างในตัวรถแน่นอยู่แล้ว คนข้างนอกจะเข้าไปก็ยาก พนักงานเลยต้องช่วยผลักเข้าไปในรถ และไม่ใช่ผลักแบบเบาๆ ผลักกันชนิดอวัยวะอาจเปลี่ยนที่ได้ ปกติผมชอบยืนตรงประตู จะได้ลงได้ง่าย แต่พอถูกผลักโครมเดียวจากตรงประตูมันเข้าไปอยู่กลางโบกี้ได้ไงไม่รู้ ไม่ต้องเดินเองเลย เหมือนตัวมันลอยตามกระแสไปเอง ตามสถานีต่างๆเลยมีอาชีพผลักคนเข้ารถ เป็นงาน part time ทำวันละ 2-4 ชั่วโมงช่วงเวลาเร่งด่วน ค่าตอบแทนประมาณ 250 บาทต่อชั่วโมง

เคยเห็นรถ BTS ที่ไทยเขียนว่า “ห้ามยืนพิงประตู” คงเกรงว่าประตูอาจไม่แน่นอาจหลุดออกมาได้มั้ง แต่ประตูรถไฟญี่ปุ่นเขียนว่า “ระวังประตูหนีบ” ความแข็งแรงของประตูรถไม่รู้ว่าให้หน่วยงานทหารออกแบบหรือไง เพราะมันต้องรับแรงดันมหาศาลจากคนที่อยู่ในรถ เหมือนฝาขวดน้ำอัดลมที่ต้องออกแบบให้รับแรงดันแก๊สในขวดได้ เรื่องประตูพังไม่กลัว กลัวแต่ประตูหนีบ เพราะคนจะเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว นิ้วอาจโผล่มา หรือสายกระเป๋า ผ้าพันคออาจโผล่ออกมานอกตัวรถ

มีเทคนิคการขึ้นรถไฟปลากระป๋องไม่ให้เหนื่อย เวลารถออกตัวหรือเบรค อย่าไปฝืนกลัวว่าจะล้ม มันเหนื่อยเปล่าๆ เพราะแรงคนมหาศาลดันมา ต้านไม่ไหวอยู่แล้ว ยังไงก็ไม่มีทางล้มเพราะที่จะให้วางเท้าได้ครบทั้งสองเท้ายังไม่มี ที่จะให้ล้มก็ไม่มีเช่นกัน ถ้ารถเบรคก็ลู่ไปกับคลื่นมหาชน อ่านๆดูคงจะสงสัยใช่ไม๊ล่ะ แล้วถ้าอยู่กลางโบกี้จะลงยังไง คนญี่ปุ่นเค้าไม่แคร์กันอยู่แล้วครับ พอประตูเปิดก็ผลักๆแหวกๆออกมา คือทำยังไงก็ได้ให้เอาตัวออกมาให้ได้โดยไม่ต้องไปแคร์คนข้างๆ

เคยมีคนรู้จักมาเที่ยวญี่ปุ่น ก็เล่าเรื่องรถไฟปลากระป๋อง เค้าก็ฟังไปงั้นๆ แต่พอไปเจอเข้ากับตัวเองจริงๆ ทั้งโดนผลักอย่างแรง ผ้าพันคอก็ถูกหนีบอยู่กับประตูจะเอาออกก็เอาออกไม่ได้เพราะมันพันคออยู่ เบียดกันจนขยับแขนขาไม่ได้ หลังจากผ่านประสบการณ์นี้เค้าถึงสารภาพว่าตอนแรกคิดว่าผมพูดเว่อร์ อะไรมันจะขนาดนั้น เค้ายังถามด้วยว่าคนญี่ปุ่นเค้าไม่โกรธเจ้าหน้าที่เหรอว่ามาผลักฉันทำไม เลยตอบว่านอกจากไม่โกรธแล้วยังนึกขอบคุณที่ช่วยทำให้เค้าเข้าไปในรถไฟได้

เนื่องจากคนแน่นมากในเวลาเร่งด่วน จึงเกิดปัญหาการลวนลามในรถไฟตามมา ตอนเช้ากับตอนเย็นจะมีโบกี้พิเศษสำหรับผู้โดยสารหญิงโดยเฉพาะ อาจจะอยู่โบกี้หน้าสุด หรือหลังสุด เพราะฉะนั้นดูให้ดีๆก่อนขึ้นว่าขึ้นผิดโบกี้รึเปล่า จริงๆการลวนลามในรถไฟไม่ไม่เป็นอันตรายสำหรับผู้หญิงอย่างเดียว ผู้ชายก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ระวังถูกลวนลามนะ ต้องระวังผู้หญิงกล่าวหาว่าลวนลาม มีอยู่หลายครั้งที่ผู้หญิงต้องการหาเงินพิเศษ เลยใช้โอกาสในรถไฟร้องว่าผู้ชายข้างๆลวนลาม ในเมื่อไม่มีใครเห็น ทุกคนก็ต้องคิดว่าผู้ชายคนนี้ลวนลามจริง ถูกเจ้าหน้าที่จับ ใช้เวลาขึ้นโรงขึ้นศาลนานเป็นปีๆ เสียชื่อเสียงอีก ถ้าใครอยากให้ถอนฟ้องก็ต้องจ่ายเงินตามที่ผู้หญิงเรียกร้อง กรณีแบบนี้มีหลายรายแล้ว แล้วถ้าไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าไม่ได้ลวนลาม ผู้ชายก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงกับหมดอนาคตกันเลยก็มีเพราะศาลจะเข้าข้างผู้หญิงมากกว่า ผู้หญิงได้สิทธิสตรีกันไปแล้ว อยากให้มีการเรียกร้องสิทธิบุรุษมั่งจังเลย คนญี่ปุ่นบอกผมว่าจะให้ปลอดภัย เวลาขึ้นรถไฟให้ชูมือสูงๆจับราวไว้ทั้งสองมือ กล้องในรถจะได้ถ่ายเห็นว่าเราไม่ได้ลวนลาม

พูดถึงสถานีรถไฟบ้างดีกว่า สถานีบางสถานีมีชานชลาหลายสิบ มีรถวิ่งเป็นสิบสาย มีทางออกเป็นร้อย ถ้าเราบอกเพื่อนว่าเจอกันที่สถานีชินจุกุนะ รับรองไม่มีทางได้เจอกันแน่นอน ต้องบอกว่าเจอทางออกทิศไหน ทางออกหมายเลขที่เท่าไหร่หรือหน้าตึกอะไร ที่ชอบอีกอย่างนึงก็คือ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้กับคนพิการที่ใช้ได้จริงๆ เช่นลิฟท์ หรือราวบันไดที่ยกรถเข็นได้ เจ้าหน้าที่ก็ดูแลดี ถ้าเป็นคนนั่งรถเข็น เจ้าหน้าที่ก็จะเข็นพาไปจนเข้าตัวรถ มีแผ่นปูระหว่างชานชลากับตัวรถ ในรถก็มีที่สำหรับรถเข็น เมื่อเจ้าหน้าที่ส่งขึ้นรถแล้วก็จะโทรศัพท์ไปบอกสถานีปลายทางที่ผู้โดยสารต้องการลง ที่ปลายทางก็จะมีเจ้าหน้าที่มารอรับที่หน้าประตูรถเพราะรู้ว่ารถจะมาถีงกี่โมงกี่นาทีแล้วอยู่ในโบกี้ไหน แล้วก็จะเข็นผู้โดยสารออกไปส่งนอกสถานี บริการดีเยี่ยมจริงๆ อีกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ประจำแต่ละสายก็คือ เสียงเพลงตอนรถกำลังจะออก ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Hassha Melody (หัสฉะเมโลดี้) จะไม่ใช้เสียงอ๊อด หรือเสียงปิ๊ปๆๆๆ แต่ละสายจะมีเสียงเพลงที่ไม่เหมือนกัน อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรลองหาในยูทูปดูเอง

มีอีกเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง ไม่เกี่ยวกับรถไฟ แต่เป็นรถบัส ระบบการวิ่งรถบัสของญี่ปุ่นจะไม่เหมือนเมืองไทย รถบัสเมืองไทยจะวิ่งจากจุดใหญ่ๆไปจุดใหญ่ๆ เช่นจาก The Mall บางกะปิไปอนุสาวรีย์ชัย แต่ญี่ปุ่นรถบัสจะไม่วิ่งแบบนี้ เพราะการเชื่อมต่อระหว่างแหล่งชุมชนใหญ่มีรถไฟวิ่งหมดแล้ว ใช้รถไฟเร็วกว่าถูกกว่ารถบัส แต่รถบัสจะวิ่งจากจุดใหญ่เข้าไปหาจุดเล็กๆที่รถไฟเข้าไม่ถึง หรือถ้าวิ่งจากจุดใหญ่ไปจุดใหญ่ก็จะพยายามเข้าซอยเล็กซอยน้อยให้มากที่สุด มีครั้งนึงจะถ่ายคลิปวิธีขึ้นรถบัส ตอนนั้นอยู่สถานีโตเกียวกำลังจะกลับชินจุกุกัน บรรดาเดอะแก๊งก็บอกว่าให้ขึ้นรถบัสซิ สถานีใหญ่ๆทั้งคู่ต้องมีรถบัสวิ่งตรงอยู่แล้ว เลยไปถามพนักงานว่าจะต้องนั่งสายอะไร เค้าแนะให้ไปขึ้นรถไฟ เพราะรถบัสต้องไปหลายต่อนะ ขึ้นจากโตเกียวไปลงที่ไหนไม่รู้เป็นตำบลเล็กๆ แล้วต่ออีกสายจากที่นั่งเข้ามาชินจุกุอีกที

การขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นจะรู้สึกว่ายากช่วงแรกๆ แต่สักพักก็จะชิน แล้วจะรู้สึกว่าเป็นระบบที่สะดวกและดีเยี่ยม

ส้วมแตก

ต้องยืมคำพูดของโน๊ตอุดมมาเกริ่นนำ อยู่เมืองไทยอุ่นใจ อยู่ญี่ปุ่นอุ่นตูด

พูดถึงญี่ปุ่นแล้วก็จะนึกถึงความไฮเทค เพราะประเทศนี้มีนวัตกรรมหลายอย่างที่ก้าวหน้ามากหรือที่เราเรียกว่าความไฮเทคนั่นเอง ที่จริงผมคิดว่าความไฮเทคเกิดจาดความขี้เกียจของมนุษย์ เลยต้องทำอุปกรณ์ให้ทำงานแบบอัตโนมัติ เช่น ขี้เกียจเปิดประตูก็ทำประตูที่เปิดเองอัตโนมัติ ขี้เกียจกดสวิตซ์เปิดไปก็ทำสวิต์ที่เดินผ่านแล้วไฟเปิดเอง ขี้เกียจลุกไปเปลี่ยนช่องทีวีก็ทำรีโมตไร้สาย ฯลฯ ตัวอย่างที่ยกมานี่แค่เด็กๆ เราเห็นอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่คนญี่ปุ่นเค้าไม่จบอยู่แค่นั้น คนญี่ปุ่นเป็นคนช่างคิดและพิถีพิถรรพกับรายละเอียดมาก การทำอะไรแต่ละอย่างเค้าคิดอย่างละเอียดแล้วใส่ความละเอียดลงไปในทุกอุปกรณ์ อุปกรณ์ที่อยากจะพูดถึงคือส้วมอัตโนมัติของญี่ปุ่น ทุกคนอาจเคยได้ยินกิติศัพท์มาบ้างแล้ว

การใช้อุปกรณ์ล้างก้นก็มีมานานแล้ว แต่เนื่องจากคนเราขี้เกียจล้างก้นเองเลยต้องประดิษฐ์อุปกรณ์ชำระล้าง ไม่ว่าจะเป็นสายชำระ หรือ Bidet ที่ต้องลุกย้ายจากโถส้วมมา บีหรุซังเคยไปมาเลเซีย เค้ามีส้วมที่ล้างก้นได้เหมือนกัน แต่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน เค้าทำท่อเป็นโค้งๆให้ปลายท่อชี้ไปที่เป้าหมาย เวลาจะล้างก็หมุนก็อก น้ำก็จะพุ่งไปที่เป้าหมาย

ที่ญี่ปุ่นเค้าคิดเรื่องส้วมกันแบบละเอียดยิบ เดินเข้ามาที่ส้วมฝาส้วมต้องเปิดเอง มือจะได้ไม่ต้องสัมผัส ที่นั่งจะมีระบบทำความร้อนแบบฉับพลัน เมื่อก่อนมันจะอุ่นไว้ทั้งคืนทำให้เปลืองไป แต่ตอนนี้เข้าแล้วค่อยอุ่น ระหว่างทำธุระอยู่ทำยังไงไม่ให้มีกลิ่น เวลาจะตดเผื่ออายก็มีเสียงกดชักโครกหรือเสียงนกร้อนมากลบเกลื่อนแทน จะทำยังไงให้ล้างก้นได้โดยไม่ต้องลุกออกจากโถเหมือน Bidet เวลาน้ำฉีดออกมาแล้วทำยังไงให้น้ำฉีดตรงเป้าหมาย เพราะคนเรามีตำแหน่งไม่เหมือนกัน ฉีดข้างหน้าต้องใช้ความแรงเบาๆแบบทนุถนอม ฉีดข้างหลังต้องใช้ความแรงมากกว่าเพื่อไม่ให้เหลือสิ่งตกค้าง บางคงก็ว่าแรงไปจึงมีการปรับขนาดความแรง ฉีดด้วยความแรงเท่ากันตลอดมันก็ชาก้นเกินไปเลยต้องมีแบบแรงค่อยสลับกันไป ก้นเปียกทำยังไงให้แห้ง ก็ใส่เครื่องเป่าลมเข้าไป ทำธุระเสร็จก็ไม่ต้องกดชักโครก เวลาลุกไปแล้วชักโครกจะกดเองอัตโนมัติ ฝาส้วมก็จะปิดเองอัตโนมัติ สักครู่ระบบกำจัดกลิ่นก็จะหยุดทำงานเอง ถ้าใครอบากปรับความร้อน ความแรง ปรับหน้าหลัง เปิดที่นั่งปิดที่นั่ง ทุกอย่างสามารถทำได้จากรีโมทไร้สายเพียงอันเดียวโดยไม่ต้องแตะตัวส้วมเลย เป็นไงล่ะ ไฮเทคสุดๆ

ตอนที่ผมอยู่หอมหาวิทยาลัยในห้องนอนก็จะมีส้วมแบบธรรมดาเหมือนเมืองไทย ผมอยากได้ส้วมแบบญี่ปุ่นไฮเทคนี้บ้าง ราคาก็ไม่แพงเลย 27,800 เยน  เลยซื้อมา 1 อัน ไปถามเรื่องการติดตั้งที่ร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าแล้วเจ้าหน้าที่บอกว่าค่าติดตั้ง 6,000 เยน เจ้าหน้าที่แนะว่าจริงๆติดเองก็ได้ไม่ยาก มีคู่มือการติดตั้งให้เรียบร้อย ผมเลยติดตั้งเอง ดูแล้วไม่ยาก อุปกรณ์มีมาให้ครบไม่ว่าจะเป็นประแจ วงแหวน หรือตัวล๊อคต่างๆ ติดตามรูปตามเบอร์กำกับ ไม่ต้องเสียตัง 6,000 เยนด้วย ก็ทำการเปลี่ยนฝาส้วมเอง ดีใจมีส้วมไฮเทคใช้แล้ว จำได้ว่าแม่ผมชอบแอบแง้มประตูดูว่าฝาส้วมมันปิดเองอัตโนมัติจริงรึเปล่า ต้องแง้มดูเพราะถ้าเปิดประตูออกมาเลยฝาส้วมมันจะเปิดขึ้นมา ช่วงนั้นแม่ผมเข้าห้องน้ำบ่อยมาก

อยู่ไปได้ซัก 3 เดือน ตอนกลางวันผมก็ทำงานอยู่ในห้องแลปที่มหาวิทยาลัยตามปกติ ไม่มีใครอยู่ที่ห้อง แม่ก็กลับไทยไปแล้ว คนดูแลหอโทรมาบอกว่าเรื่องด่วน มีน้ำไหลออกมาจากห้อง ถามว่าผมซื้อฝาส้วมมาติดเองเหรอ ก็บอกว่าใช่ เค้าบอกว่าท่อที่ติดมันหลุดออกมาน้ำนองไปหมดให้รีบกลับด่วน ก็บอกเค้าว่าให้ช่วยปิดวาล์วน้ำห้องผมก่อนเพราะกว่าจะกลับถึงก็อีกตั้ง 1 ชั่วโมง ไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่ อย่างมากก็พื้นห้องของผมเปียกแต่ก็ไม่มีอะไรวางที่พื้นอยู่แล้ว พอกลับไปเห็นเจ้าหน้าที่ขนของส่วนใหญ่ในห้องของผมออกมาไว้ที่ระเบียงทางเดิน พื้นก็ยังเปียกๆอยู่ คนดูแลหอบอกว่าให้คนมาเช็ดน้ำออกให้แล้วบางส่วน ที่เหลือผมกับเพื่อนก็ช่วยกันทำต่อ คนดูแลหอบอกว่าน้ำมันรั่วลงไปชั้นล่างด้วยแล้วก็ห้องข้างๆที่อยู่ชั้นเดียวกันอีก เหมือนจะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว คนดูแลหอบอกว่าจริงๆแล้วผมไม่สามารถติดฝาส้วมเองได้เพราะไม่ได้ขออนุญาติก่อน เค้าจึงให้เจ้าหน้าที่ถอกฝาส้วมของผมออกแล้วใส่ฝาส้วมอันเดิมของหอแทน เค้าบอกว่าผมจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย แล้วมันเท่าไหร่ล่ะ เค้าบอกว่ายังไม่รู้ต้องให้ประเมิณราคาเสร็จก่อน ผมอยู่ชั้นบนสุดชั้น 5 ถ้าน้ำไหลลงมาถึงชั้น 1 ก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายให้ทุกห้องรวมทั้งค่าซ่อมตึกด้วย จะต้องเปลี่ยนผนังห้องและวอลเปเปอร์ใหม่ทุกห้องที่โดนน้ำด้วย เพราะไม่งั้นฤดูร้อนจะมีราขึ้น คือเหมือนว่าผมต้องซ่อมตึกให้ทั้งครึ่งตึกเลย เค้าบอกว่าราคาอาจจะประมาณ 8 แสนเยน โอ้แม่เจ้า 8 แสนแล้วจะเอาที่ไหนจ่ายเนี่ย เงินที่เก็บมาเพื่อใช้เป็นค่ากินอยู่และค่าเทอมทั้งหมดเลยนะเนี่ย ผมกับเพื่อนเลยไปสำรวจว่ามีห้องไหนที่โดนผลกระทบจากน้ำส้วมไหลหลากบ้าง ห้องด้านซ้ายไม่เป็นอะไรเลย ด้านขวาน้ำเข้าที่พื้น เลยรีบทำความสะอาดเช็ดน้ำออกให้หมด แต่ที่เสียวอยู่อย่างนึงคือคอมพิวเตอร์ที่วางที่พื้นไม่รู้ว่ามันเสียด้วยรึเปล่าเพราะน้ำมันก็ไปถึงแต่ไม่มาก โชคดีเจ้าของห้องไม่ว่าอะไร คอมก็ไม่เสีย ชั้นล่างล่ะ ไม่เห็นมีใครอยู่ซักคน คืนนั้นนอนไม่หลับเลยทั้งคืน

วันรุ่งขึ้นก็ไปถามคนดูแลหอว่ามีกี่ห้องที่เสีย เค้าก็บอกว่าต้องรอสัปดาห์หน้าถึงจะรู้ แต่ห้องข้างล่างด้านซ้ายน้ำไหลลงฟ้าเพดาน ไฟช๊อตทั้งห้อง เจ้าของห้องอยู่ไม่ได้ เริ่มหนาวขึ้นทุกที 8 แสนจะเอาอยู่ไม๊เนี่ย ไม่รู้น้ำซึมลงไปทางรูไหน ในห้องส้วมไม่มีท่อระบายน้ำที่พื้นเลย ส้วมปูพื้นด้วยลามิเนต เลยไปปรึกษาฝ่ายนักเรียนต่างชาติที่มหาวิทยาลัยว่าจะช่วยผมได้ยังไง มหาวิทยาลัยบอกว่าเดี๋ยวจะช่วยหาแหล่งเงินกู้ราคาถูกให้แล้วกัน ผมนึกขึ้นได้ว่ามีปรักันที่อยู่อาศัยเคยทำไว้ก่อนย้ายหอ ทำไว้ที่หอเก่า 2 ปี แต่อยู่แค่ปีเดียวก็ย้ายมาอยู่ที่ใหม่ จะทำเรื่องเบิกยังไง เจ้าหน้าที่ไปค้นใบเสร็จมา ทำไว้ 2 ปีจริง ตอนนี้ยังไม่หมดอายุ นึกในใจรอดแล้ว แต่ทึ่ทำเป็นที่อยู่คนละที่กัน ผมกูบอกว่าผมทำของชื่อผม ไม่ได้ทำของหอ เค้าบอกว่าทั้งชื่อทั้งที่อยู่ต้องตรงกันทั้งคู่ถึงจะเบิกได้ เวรกรรมเลย ชื่อใช่แต่ที่อยู่เปลี่ยนเบิกไม่ได้ รีบไปย้ายเงินจากบัญชีหักค่าหอไปไว้บัญชีอื่นให้หมดก่อน กลัวมาหักไป 8 แสน

กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่เป็นอันเรียนอยู่เกือบอาทิตย์ ไปๆมาๆห้องธุรการหอทุกวัน บอกเค้าว่าที่ติดส้วมเพราะส้วมในห้องไม่มีสายชำระผมเลยไม่อยากเข้าส้วมที่ห้อง ต้องอั้นไว้ไปเข้าที่มหาวิทยาลัย ทำให้ต้องเข้าโรงพยาบาล (ก็อ้างเรื่องที่เรียกรถหวอไปโรงพยาบาลเพราะปวดท้องให้ฟัง จริงๆไม่เกี่ยวกันเลย) งั้นขออนุญาติเค้าติดฝาส้วมที่ซื้อมาแล้วกัน วันรุ่งขึ้นเจ้าหน้าที่ก็มาติดฝาส้วมของผมคือ ผ่านไป 1 สัปดาห์เดินเข้าไปหาคนดูแลหอ เอาบัญชีให้เขาดูและบอกเค้าไปตรงๆว่าเรามีเงินอยู่เท่านี้ ทุกก็ไม่มีแล้ว จะใช้เงินนี้ไปจนกว่าจะเรียนจบ แต่ถ้าต้องจ่าย 8 แสนจริงคงไม่มีเงินเรียนแล้ว คงตัองกลับไทย ถ้าเป็นเช่นนั้น ไหนๆเรียนไม่จบแล้วสู้หอบเงินกลับไปเลยตอนนี้ไม่ดีกว่าเหรอ ประมาณประโยคบอกเล่าบวกกับประโยคขู่ เค้าก็บอกว่าอย่าเพิ่งคิดมาก มันอาจจะไม่ถึงขนาดนั้นก็ได้ อ้าวแล้วมาขู่ให้เราใจเสียทำไมวะ อีกไม่กี่วันราคาประเมิณก็ออกมา ทั้งหมด 94,500 เยน ไม่ถึงแสน จริงๆจะถูกกว่านี้อีก เพราะเค้าคิดค่าเอาส้วมของผมออก 3,000 เยน และค่าใส่คืนอีก 5,000 เยน และค่าทำความสะอาดอีก 2 หมื่นเยน ซึ่งไม่เห็นทำอะไรมาก ส่วยใหญ่ผมกับเพื่อนเป็นคนทำ แต่ก็ยังดีที่ไม่ถึงแสน

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าถ้าไม่ชำนาญจ้างเค้าทำดีกว่า ถ้าจ้างแล้วท่อแตก ทางบริษัทติดตั้งจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย และถ้าซื้อประกันที่อยู่เช่นไฟใหม้ น้ำรั่ว พายุ แผ่นดินไหว ต้องถามก่อนซื้อเลยว่าประกันตามที่อยู่หรือตามชื่อผู้ซื้อ ซื้อแล้วย้ายที่ยังเบิกได้ไม๊ ถ้าเบิกไม่ได้แนะให้ซื้อกับบริษัทอื่นที่เบิกได้ดีกว่า

เรื่องหมอๆ

เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ การมาอยู่ต่างประเทศนานๆมันก็ต้องมีเจ็บมีป่วยบ้างเป็นธรรมดา การเจ็บป่วยนั้นมีตั้งแต่เป็นหวัดเล็กๆน้อยๆ ทำฟัน ไปจนถึงขึ้นที่ต้องนอนโรงพยาบาล

คนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่อยู่ในญี่ปุ่นอย่างถูกกฎหมายจะต้องทำประกันสุขภาพซึ่งเป็นของรัฐบาล ค่าประกัน 1000 เยนต่อเดือนถ้าเป็นนักเรียน ถ้าทำงานแล้วก็เสียตามอัตราเงินภาษีที่ต้องจ่าย ประกันนี้ใช้ลดราคาเวลาไปหาหมอตามคลีนิคหรือโรงพยาบาลได้ 70% ช่วยทุ่นค่าใช้จ่ายได้เยอะพอสมควร เมื่อลดแล้วราคาที่จ่ายจริงก็พอๆกันหาหมอที่บ้านเรา

เรื่องที่ว่ามานี้ผมมีประสบการณ์มาแล้วทั้งนั้น เวลาอากาศเปลี่ยนจากร้อนมาหนาว หรือหนาวมาร้อนอย่างกระทันหันหวัดก็ถามหา ถ้าเป็นแค่นั้นก็ทานยาพาราเอง หรือถ้าไม่มียา ก็ไปร้านขายยา หรือไปศูนย์พยาบาลของมหาวิทยาลัย (ฟรี) เวลาไปหาหมอที่มหาวิทยาลัยได้ยาเป็นผงๆสีขาวกับผงๆสีม่วงมาทุกที ผงๆสีขาวผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นพาราของญี่ปุ่น แต่เวลากิน ต้องเทผงๆเข้าไปให้ลึกๆแล้วรีบดื่มน้ำตามทันที ไม่งั้นจะขมมาก ส่วนผงๆสีฟ้าเอาไปละลายน้ำหนึ่งแก้วแล้วกร้วกคอ ไปกี่ทีก็ได้แต่ยาสองอย่างนี้

ที่ต้องหาหมอประจำอีกอย่างก็คือทำฟัน อุดฟันบ้าง ขัดฟันขูดหินปูนบ้าง ผมเป็นคนนึงที่หาหมอฟันตลอดตอนที่อยู่เมืองไทย เลยขอแอบเปรียบเทียบซักหน่อย เคยอุดฟันที่เมืองไทย ใช้โลหะสีเงินเขี่ยๆยัดลงไปในรู กรอสดๆ ไม่มียาชา แต่พอมาอุดที่ญี่ปุ่นมันต่างกันโดนสิ้นเชิง วันนั้นเคี้ยวขนมเยลลี่เหนียวๆคล้ายๆตังเมมันส์ไปนิด โลหะสีเงินมันหลุดติดออกมากับเยลลี่ เลยรีบไปหาหมอ หมอบอกว่าจะฉีดยาชา ก็สงสัยว่าทำไมต้องฉีดด้วย เอ๊ะหรือว่าหมอเข้าใจว่าเราจะถอนฟัน ชักไม่มั่นใจ หมอบอกว่าจะกรอฟัน อ่ะฉีดก็ฉีด ปกติเราไม่ชอบฉีดยาเข้าเหงือกอยู่แล้ว เพราะมันเจ็บตอนแทงเข็ม แต่หมอที่นี่ใข้เข็มที่ปลายเล็กมากและแหลมมากๆจนไม่รู้สึกเลยว่าเข็มมันโดนเหงือกแล้ว ฉีดเสร็จแบบไม่รู้ตัว รอให้ยาชาออกฤทธิ์ก็เริ่มกรอ กรอเสร็จก็นึกว่าจะเอาโลหะมายัดใส่รู แต่เปล่า หมอพิมพ์ฟันแล้วเอาอะไรมาปิดรูไว้ก่อน เดี๋ยวจะนัดอีกทีสัปดาห์หน้า หมอจะหล่อโลหะเป็นรูปฟันแล้วยัดเข้าไปในรูที่กรอ อีกสัปดาห์ไปใส่ ใช้ประกันลดราคาได้เหมือนกัน หลังจากที่ทำมาหลายปีแล้วไอ้ที่อุดไว้ซี่นี้ก็หลุดอีกด้วยสาเหตุเดิม รีบกลับไปหาหมออีกครั้ง ไม่ต้องกรอเพิ่ม แค่ทำความสะอาดแล้วก็ยัดไอ้โลหะที่หลุดออกมาเข้่าไปที่เดิมก็เสร็จ

อีกเคสนึงเป็นกรณีของรุ่นน้อง(ชื่อจินนี่) จินนี่ไปครอบฟันที่ไทยมา แต่ทำมาแล้วก็ยังรู้สึกเสียวฟันอยู่เวลากินอะไรร้อนๆหรือเย็นๆ เลยไปหาหมอฟันที่ญี่ปุ่น หมอเอ็กซเรย์ดูแล้วอธิบายว่า จริงๆแล้วไม่มีอะไร เพียงแต่ครอบฟันที่ทำมันทำลึกลงไปจนใกล้เส้นประสาทฟันมาก เวลากินของร้อนหรือเย็น อุณหภูมิมันจะถ่ายเทผ่านโลหะเข้าไปถึงเส้นประสาท ทำให้รู้สึกเสียวฟัน หมอญี่ปุ่นบอกว่าวัสดุแบบนี้ใช้เมื่อสมัย 20-30 ปีที่แล้ว ตอนนี้เลิกใช้ไปแล้ว หมอเปลี่ยนที่ครอบฟันเป็นวัสดุแบบที่ไม่มีการถ่ายเทอุณหภูมิให้ ตอนนี้จินนี่คงไม่เสียวฟันอีกแล้ว

ส่วนอีกเรื่องที่จะเล่าให้ฟังก็เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำ เป็นที่ผมไม่ค่อยเข้าห้องน้ำเลยเป็นนิ่วก็เลยปวดท้องนั่นเอง ปกติผมจะไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องเข้าห้องน้ำบ่อยอยู่แล้ว มีอยู่วันนึงเกิดปวดท้องตอนประมาณ 4 ทุ่ม นึกว่าปวดท้องหนัก เลยเข้าไปเบ่ง มันก็ไม่ออก และความปวดก็ยังไม่หาย เลยโทรหาแม่ที่เมืองไทย เผอิญแม่เพิ่งปวดท้องและผ่าใส้ติ่งไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แม่ก็บอกอาการมา เอ๊ะทำไมมันเหมือนเราจัง หรือว่าเรากำลังจะใส้ติ่งแตกเนี่ย ทำไงล่ะ ต้องไปโรงพยาบาล เลยไปที่ป้อมยาม วานให้ยามเรียกรถหวอให้ ยามบอกว่ารถหมออาจจะต้องรอ ไม่ลองไปโรงพยาบาลที่อยู่ถัดไปอีกบล๊อกนึงล่ะ น่าจะเร็วกว่า ก็ลองไป ให้น้องคนไทยไปด้วย ขี้จักรยานไปกันสองคนตอนเกือบเที่บงคืน ปวดท้องไปด้วยขี่จักรยานไปด้วย ไปถึงโรงพยาบาลก็เข้าไปหาหมอ ไม่เห็นมีเจ้าหน้าที่อยู่ซักคน มีแต่ญาติมารอคนไข้ที่กำลังรักษาเพียงคนเดียว หมอก็มีคนเดียวทั้งโรงพยาบาล เลยต้องรอให้หมอรักษาตามคิว

โรงพยาบาลในญี่ปุ่นส่วนใหญ่มีเวลาจะเปิดปิดเหมือนสำนักงานทั่วไป ตอนกลางคืนจะมีเฉพาะพยาบาลที่เฝ้าคนไข้ในโรงพยาบาล ไม่เปิดรับคนไข้เลย หรือบางทีก็มีหมอประจำแผนกฉุกเฉินคนเดียว เลยมีหน่วยรถพยาบาลไว้บริการฟรี รถพยาบาลจะหาโรงพยาบาลที่มีหมอว่างเละพาไปส่งให้

กลับมาที่โรงพยาบาลต่อ รอ 20 นาทีก็แล้ว หมอก็ยังไม่เสร็จ คนไข้ในห้องก็กำลังจะตาย เลยตัดสินใจไม่รอแล้ว กลับไปให้ยามเรียกรถหวอดีกว่า ก็ขี่จักรยานกลับไป ระหว่างทางเจอตำรวจ งั้นให้ตำรวจเรียกให้ดีกว่า จะขี่ไม่ไหวอยู่แล้ว วานให้ตำรวจโทรเรียกให้ ถูกย้อนถามกลับมาว่าทำไมไม่เรียกเอง ก็บอกว่าไม่รู้เบอร์ ตำรวจก็บอกมาว่าเบอร์ 119 เราก็ให้น้องต่อให้ น้องก็พูดญี่ปุ่นยังไม่ค่อยได้เพราะเพิ่งมา เลยให้ตำรวจพูดให้ พอวางหูตำรวจก็หันมาทางผม ด้วยความที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ เลยขอดูบัตรประจำตัวคนต่างชาติของผม ก็ให้ดูแล้วก็ถามว่ามาทำอะไรที่ญี่ปุ่น ก็บอกว่ามาเรียน งั้นขอดูบัตรนักเรียนด้วย แล้วจักรยานนี้ล่ะเป็นของใคร ก็บอกว่ารับมาจากรุ่นพี่อีกที งั้นบอกชื่อเจ้าของจักรยานมาซิ พี่ตำรวจก็วิทยุไปเช็คที่ศูนย์ทะเบียนว่าตรงกับที่บอกไปไม๊ ตอนนั้นอยากจะด่าตำรวจมากๆ แต่มันไม่ไหวจริงๆ คนปวดท้องจะตายอยู่แล้วยังจะมาทำหน้าที่อะไรกันตอนนี้ สอบอย่างกับเราเป็นคนเถื่อนหนีเข้าเมือง นึกไม่ออกเลยว่นถ้าผมเป็นคนเถื่อนจริงๆจะเกินอะไรขึ้นเนี่ย คงจะจับผมไปโรงพักแล้วให้ผมตายไปตรงนั้นเลยรึเปล่า ตอนนั้นคิดอย่างงั้นจริงๆด้วยความโมโห พอตรวจเสร็จพี่แกก็ไป ก่อนไป ผมถามว่าขอจอดจักรยานตรงนี้ได้ไม๊ เพราะบอกจุดที่รถหวอจะมารับไว้ที่นี่แล้ว พี่ตำรวจก็บอกว่า จะจอดก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ตอนเช้ามาก็อาจถูกยกนะ ไม่สนใจแล้ว โดนยกก็ช่าง ทิ้งให้เรากับน้องรอรถหวออยู่ริมถนนกันสองคน

พอรถหวอมาใกล้ถึง ผมก็ออกไปยืนกลางถนนโบกมือเรียกว่าอยู่ทางนี้ มันมืดกลัวมองไม่เห็น พอเห็นรถหวอวิ่งมาทางผมก็อุ่นใจแล้ว รอดแล้วเรา ขึ้นไนอนบนรถ น้องก็ขึ้นไปนั่งข้างๆด้วย เจ้าหน้าที่ก็สอบถามอาการ แล้วก็ให้น้องกรอกข้อมูลให้ แต่น้องก็กรอกภาษาญี่ปุ่นไม่เป็นอีก สรุปแล้วผมทำเองทุกอย่าง แต่ระหว่าที่กรอกและสอบประวัติ รถหวอไม่ได้เคลื่อนไปไหนเลย ก็คิดในใจว่าทำไมไม่ขับไปด้วยถามไปด้วยก็ได้ มาได้คำตอบทีหลังว่า เจ้าหน้าที่ต้องถามอาการเราให้ละเอียด แล้วก็ติดต่อไปตามโรงพยาบาลต่างๆแล้วแจ้งอาการของเราให้โรงพยาบาลทราบ แล้วโรงพยาบาลจะตัดสินใจว่าจะรับเราได้หรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็เปลี่ยนโรงพยาบาล ตอนนั้นรู้สึกว่าจะโทรติดต่ออยูสามโรงพยาบาล แต่ละที่เต็มทั้งนั้น พอได้โรงพยาบาล ค่อยออกรถขับไปส่ง ถึงโรงพยาบาลก็ส่งฟอร์มที่กรอกเมื่อกี้ แล้วก็แจ้งอาการเราให้ทางหมอทราบ

ถึงมือหมอปุ๊ปก็ถูกจับเอ็กซเรย์ หมอวินิจฉัยว่าผมมีก้อนนิ่วเท่าก้องกรวดเล็กๆเข้าไปค้างในท่อจากไตมายังกระเพาะปัสสาวะ หมอบอกว่าไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวมันจะหลุดออกไปเอง ให้กินน้ำเยอะๆ แต่มันก็ยังปวดอยู่ หมอเลยให้น้ำเกลือผสมยาแก้ปวดและนอนรอที่ห้องดูอาการ จะถึงตีสี่หมอก็บอกว่ากลับบ้านได้ แต่มันยังปวดอยู่นะหมอ หมอก็บอกว่าอยู่ที่นี่ก็ทำอะไรไม่ได้ โดนไปสามพันกว่าเยน ถือว่าถูกมาก

แม่ผมเคยมาปวดไมเกรนที่ญี่ปุ่นตอนมาเยี่ยมผม เรียกรถหวอเหมือนกัน แต่ยามเห็นว่ารถไม่มาซักที เลยขับรถไปส่งเอง ก็ไอ้โรงพยาบาลที่ผมไปนอนเล่นมานั่นแหละ โดนนอนเตียงข้างๆกันเลย แม่ปวดจนอาเจียน หมอเลยให้เข้าเครื่อง CT scan ให้น้ำเกลือและยาแก้ปวดเหมือนกัน โดนไปสี่หมื่นเยน

นอกจากโรงพยาบาลแล้วยังมีคลีนิคเฉพาะทางอีก เช่น คลีนิคโรคผิวหนัง คลีนิคเด็ก คลีนิคคนแก่ ฯลฯ ผมเคยไปรักษาตาปลาที่คลีนิคโรคผิวหนัง ตาปลาผมขึ้นที่ฝ่าเท้า ตอนแรกมันก็เป็นจุดเล็กๆจุดเดียว นานๆไป มันขยายใหญ่ขึ้น แล้วก็ลามไปจนเป็นวงใหญ่มาก เวลาเดินจะเจ็บ ก่อนหน้านี้เคยรักษาที่ไทยแล้วไม่หายซักที หมอให้ยามาทาพอเปื่อยๆก็ให้ถูๆออกเหมือนขัดขี้ไคล มันก็ออกแค่ผิวหนังตื้นๆ แล้วก็ขึ้นมาใหม่ ช่วยอะไรไม่ได้เลย ก็เลยลองหาหมอญี่ปุ่นดู คลีนิคที่ผมไปนี่แปลกนิดนึงคือห้องตรวจจะไม่มีอะไรกั้นให้คนไข้นั่งรอที่เก้าอี้หน้าโต๊ะแล้วก็รักษาตามคิว คนข้างหลังก็รู้หมดว่าคนข้างหน้าเป็นอะไร เพราะทั้งเห็นทั้งได้ยิน ผมเห็นหมอคนนี้รักษาคนไข้โดยใช้สเปรย์ฉีด กี่คนก็ใช้ประมาณนี้ มันคือสเปรย์มหัศจรรย์หรือไง ทีผมบ้างละ เล่าอาการให้หมอฟัง หมอก็บอกว่าเป็นอะไรซักอย่าง ฟังศัพท์แพทย์ภาษาญี่ปุ่นไม่ออก แต่ก็ไม่สน ลงมือเลยหมอ ทำยังไงก็ได้ให้หาย หมอก็เอาสเปรย์มหัศจรรย์มาฉีกบนตาปลา เจ็บว่ะ คิดว่าน่าจะเป็นไนโตรเจนเหลวรึเปล่าไม่แน่ใจ เพราะมันเย็นมาก เย็นจนเจ็บ เหมือนว่าใช้ความเย็นจัดๆทำให้เนื้อส่วนนั้นมันตายไป จะได้ร่อนหลุดมาเอง ฉีดเสร็จเดินขาเป๋กลับเพราะมันเจ็บ หมอให้ใบสั่งยาไปซื้อที่ร้านขายยาเอง เป็นครีมทาบนแผล ไม่ต้องผันแผล ใช้ชีวิต อาบน้ำได้ปกติ พอซักสัปดาห์ตาปลามันก็เริ่มลอก ใช้กรรไกรตัดเล็บแงะๆออกมา ตาปลาหนาประมา 2 มิลแผ่นเบ้อเร่อก็หลุดออกมา เนื้อโบ๋เลย ครบสองสัปดาห์ก็ไปหาหมอใหม่ หมอก็ฉีดเข้าไปที่ๆยังไม่ลอกออก ทำอย่างนี้อยู่ประมาณ 5 ครั้ง ตาปลาหลุดออกหมด เนื้อที่โบ๋ก็เริ่มตื้นขึ้น จนตอนนี้เหมือนไม่เคยทีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย แถมลายเท้าก็กลับขึ้นมาครบเหมือนเดิมด้วย เยี่ยมจริงๆ

มีเพื่อนคนอยู่ดีๆสิวก็ขึ้นเยอะมาก ผมเลยแนะนำให้ไปคลีนิคผิวหนังนี้ดู เจ๊แกไปแล้วก็โดนรักษาด้วยสเปรย์มหัศจรรย์นี้เหมือนกัน เลยแซวกันว่าหน้าเจ๊รักษาเหมือนกับตาปลาหนาๆที่เท้าผมเลย ฮ่าฮ่าฮ่า

ไหนๆพูดถึงเรื่องสุขภาพแล้วขอเพิ่มเกร็ดความรู้อีกเรื่องแล้วกัน ตอนอยู่ที่ไทย เวลาวัดอุณหภูมิร่างกายคนปกติต้องได้ 37 องศา แต่พอมาอยู่ญี่ปุ่น เค้าบอกว่าอุณหภูมิร่างกายคนเราต้อง 36 องศา ผนก็เถียงเค้า เพราะเราเคยวัดอุณหภูมิเราเองที่ไทยได้ 37 องศา ไม่เชื่อ กลับบ้านไปลองวัดดู 36 องศาจริงๆด้วย ถ้าอุณหภูมิ 37 องศาที่ญี่ปุ่นแสดงว่ามีไข้ต่ำๆ อย่างเพิ่งเชื่อ และอย่างเพิ่งว่าผม ถ้าใครไปญี่ปุ่นลองไปวัดอุณหภูมิของตัวคุณเองที่นั่นดู