Tuesday, April 21, 2015

ระทึกขวัญวันแผ่นดินไหว

พูดถึงเรื่องภัยธรรมชาติ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เป็นเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกและอยู่บนรอยเลื่อนของเปลือกโลก จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องเจอภัยธรรมชาติหลายอย่างอาทิเช่น พายุ ซึนามิ แผ่นดินไหว ฯลฯ แต่ที่อยากจะเล่าให้ฟังก็คือเหตุการณ์แผ่นดินไหว 8.9 ริคเตอร์วันที่ 11 มีนาคม 2554 (ก่อนผมรับปริญญา 13 วัน) ซึ่งเป็นการไหวที่ติดอันดับในประวัติศาสตร์ก็ว่าได้ ผลกระทบใหญ่ๆจากแผ่นดินไหวครั้งนั้นก็อย่างที่ทราบกันก็คือ ซึนามิขนาดยักษ์ถล่มชายฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุคุชิม่าระเบิด ถึงแม้ผมจะไม่ได้อยู่ที่ซึนามิหรือใกล้ๆศูนย์กลางแผ่นดินไหว แต่ความแรงรับรู้ได้ถึงโตเกียว

วันนั้นเป็นวันศุกร์ช่วงปิดเทอม มีพี่คนไทยจะกลับเมืองไทย ผมเลยไปช่วยลากกระเป๋าจากบ้านแกไปขึ้นรถบัสไปสนามบิน แล้วก็ยังมีเจ้าของร้านอาหารไทยที่สนิทกัน (ชื่อเจ๊จิ) ไปส่งด้วย ส่งพี่เค้าขึ้นรถตอนบ่ายสองโมง ผมกับเจ๊จิก็ไปหาอะไรทานกันแล้วก็นั่งคุยกันต่อ พอบ่ายสองห้าสิบผมก็กลับแลป เพราะมีมีตติ้งกับอาจารย์ตอนบ่ายสามโมง เจ๊จิยังไม่อยากกลับบ้านเลยไปเดินเล่นที่ห้างก่อน

ถึงหน้าตึกแลปก็เกือบๆบ่ายสาม จอดจักรยานเสร็จก็เข้าตึก รอขึ้นลิฟท์ พอลิฟท์มาก็ขึ้นลิฟท์แล้วกดชั้นสิบตามปกติ พอลิฟท์ขึ้นถึงชั้นสามก็รู้สึกว่าลิฟท์มันสั่นนิดนึง ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอถึงชั้นสี่ลิฟท์แกว่งแรงมากขึ้น ก็คิดว่าคงมีช่างมาซ่อมบำรุงลิฟท์แต่ลืมใส่ที่ล๊อคตัวลิฟท์กับราง เริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะปลอดภัย ถึงชั้นห้าทนไม่ไหวแล้วเพราะรู้สึกว่าตัวลิฟท์มันแกว่งเหมือนนาฬิกาลูกตุ้มแล้วมันก็แกว่งไปกระแทกกับรางดังก๊องแก๊ง คิดว่าต้องออกแล้ว ลิฟท์คงไปไม่ถึงชั้นสิบแน่ๆ เลยตั้งสติอีกเสี้ยววินาทีตอนนั้นลิฟท์เลยชั้นห้าไปแล้ว กดชั้นหกคงจอดไม่ทัน เลยกดชั้นเจ็ด มาคิดได้ตอนหลัง จริงๆแล้วควรกดให้หมดทุกชั้นเลย มันหยุดที่ชั้นไหนก่อนก็ออกที่ชั้นนั้น

พอออกจากลิฟท์ที่ชั้นเจ็ดก็นึกว่าปลอดภัยแล้ว แต่ยืนไม่ได้ จะล้ม หรือว่าเรามึนลิฟท์เนี่ย เงยไปเห็นป้ายที่แขวนอยู่บนเพดาน ป้ายแกว่ง อ้องั้นก็แสดงว่าแผ่นดินไหว ไม่ได้คิดอะไรมากเดี๋ยวมันก็หยุด เพราะมันก็ไหวประจำอยู่แล้ว เลยไม่ได้ตื่นเต้นอะไร แต่มันไหวแรงขึ้น ไม่มีทีท่าที่จะเบาลง มองไปนอกหน้าต่าง เห็นตึกข้างๆโอนเอนไปมา กระดานไวท์บอร์ดที่แขวนอยู่หน้าห้องกระพือจากการโบกของตัวตึก ตึกสั่นซะขนาดนี้ถล่มแน่ๆ เริ่มสติแตกแล้ว แต่คิดในใจว่าต้องตั้งสติไว้ คิดแต่ว่าอยู่ในตึกไม่ได้แล้ว ต้องออกไปจากตึกนี้ให้เร็วที่สุดก่อนที่มันจะถล่มลงมา มีทางลงได้สามทาง ลิฟท์ บันไดกลาง และบันไดหนีไฟข้างนอกตัวตึก ลิฟท์นี่ตัดไปได้เลย ไม่เอาอีกแล้ว บันไดหนีไฟก็ไม่น่าไว้ใจ เพราะมันอยู่นอกตัวตึก แล้วตึกมันโบกซะขนาดนี้ (น่าจะเคยเห็นคลิปตึกเอนไปเอนมาในยูทูปกันแล้ว) ยืนยังยืนไม่อยู่เลย ถ้าลงบันไดหนีไฟคงต้องตกตึกตายแน่ๆ ก็เหลือแต่บันไดกลาง แต่ตอนนั้นคนงานตั้งนั่งร้านตรงบันไดสำหรับทำความสะอาดกระจกอยู่ แค่เดินลงปกติก็ลำบากอยู่แล้ว ลงแบบตึกสั่นไปด้วยมีหวังนั่งร้านหล่นใส่ตัวอีกเหมือนกัน งั้นคงต้องอยู่ในตึกนี่แหละ ปลอบใจตัวเองว่าตึกที่อยู่เห็นตึกที่ใหม่สุดในมหาวิทยาลัย และตึกในญี่ปุ่นก็ออกแบบมาให้รับกับแผ่นดินไหวได้อยู่แล้ว คงไม่น่าเป็นอะไร แต่ถ้ามันถล่มล่ะ เคยเห็นข่าวตึกถล่ม คนที่ติดอยู่ในตึกส่วนใหญ่จะโดนคานหรือคอนกรีตใหญ่ๆทับแล้วออกไม่ได้ เลยหาที่หลบให้พ้นจากคาน

พอดีชั้นเจ็ดมีห้องทดลองของแลปผมพอดี น่าจะมีคนอยู่ เข้าไปหลบอยู่ด้วยกันดีกว่า มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกันได้ อยู่ที่ฮอลหน้าลิฟท์คนเดียวเดี๋ยวไม่มีใครรู้ วิ่งเข้าไปในห้องแลป แค่กดรหัสเปิดประตูก็ลำบากแล้ว ทั้งมือสั่นทั้งตึกสั่น แผงกดรหัสที่ติดอยู่กับกำแพงอยู่ไม่นิ่งอีก ตึกก็สั่นแรงขึ้นอีกเรื่อยๆ เข้าไปในแลปได้ก็มีรุ่นน้องคนญี่ปุ่นอยู่สองคน เค้าก็บอกให้รีบมุดเข้าใต้โต๊ะโดยด่วน ไม่ฟังเสียง มุดเข้าโต๊ะที่ใกล้สุดแล้วเก็บแขนเก็บขากอดไว้กับตัวกลมดิ๊ก พอเข้าไปใต้โต๊ะปุ๊บ ของบนชั้นก็ตกลงมา จอมอนิเตอร์ที่วางบนโต๊ะก็สั่นเหมือนคนบีบคอแล้วเข่ยาๆ ตู้เหล็กมันเดินออกมาได้จากแรงสั่น เหมือนมือถือเดินได้เวลาเปิดโหมดสั่น ตอนนั้นทำใจแล้วว่าจะต้องร่วงลงไปพร้อมกับตึกถล่ม แต่อย่างน้อยก็คงติดอยู่ส่วนบนๆเพราะอยู่ชั้นเจ็ด แล้วแขนขาก็คงไม่ถูกทับ เพราะเก็บเป็นอย่างดี เข้าใจความรู้สึกของคนที่อยู่ในตึกก่อนที่มันจะถล่มเลย
แลปชั้น 7 ที่เข้าไปหลบใต้โต๊ะ

ครั้งนี้ไหวนานกว่าปกติ สักครู่ก็เริ่มสงบ ออกมาจากใต้โต๊ะ คุณพระคุณเจ้าช่วยยังไม่ตาย เหตุการณ์ก็คงปกติแล้ว เหลือแค่ร่องรอยตู้โต๊ะเก้าอี้แล้วของตกแตกอยู่ที่พื้น ประตูกันไฟปิดทุกบาน ผมก็เดินขึ้นบันไดกลางกลับไปที่โต๊ะทำงานชั้นสิบ ต้องเตรียมตัวไปมีตติ้งกับอาจารย์ต่อ

ถึงชั้นสิบเห็นลิฟท์ที่ผมขึ้นมาเมื่อกี้จอดอยู่ชั้นสิบแต่ประตูลิฟท์ล๊อค เปิดไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าลิฟท์มาถึงชั้นสิบแล้วเปิดไม่ได้หรือว่าประตูเปิดให้ออกแล้วปิดก่อนล๊อค ที่ห้องดูทีวีเห็นเด็กในแลปวิ่งเช็คข้อมูลในเน็ต กับข่าวทางทีวี อาจารย์อีกคนก็เดินมาถามว่ามีใครเป็นอะไรไม๊ เห็นข่าวซึนามิในทีวี รู้สึกว่ามันไม่ธรรมดาซะแล้ว ครั้งแรกที่เห็นรู้สึกว่ามารุนแรงกว่าเหตุการณ์ซินามิทางภาคใต้มาก ไม่ถึงห้านาที มันมาอีกรอบ ไหวอีกแล้ว คราวนี้อยู่ชั้นสิบสูงกว่าเดิมอีก แต่คราวนี้รู้สึกปลอดภัยกว่าครั้งแรก เพราะมีคนอยู่ด้วยกันเยอะ และขนาดสั่นแบบเมื่อกี้ยังรับไหว คราวนี้ไม่ต้องไปกลัวแล้ว แต่ตอนนั้นพูดตรงๆว่าไม่อยากอยู่ในตึกอีกแล้ว พอหยุดไหวก็ควักโทรศัพท์โทรหาเจ๊จิก่อน โทรไม่ออกเลย โทรหาใครๆก็ไม่ออกเหมือนกัน เลยส่งเป็นอีเมล์จากมือถืออกไปแทนว่าเป็นไงบ้าง อยู่ที่ไหน แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบอะไร

ประมาณบ่ายสามโมงสิบห้า อาจารย์ที่ผมต้องมีตติ้งด้วยก็เดินขึ้นบันไดมา อาจารย์บอกว่าตอนแผ่นดินไหวอยู่ในงานพรีเซนต์ที่ห้องประชุมชั้นสาม อธิการบดีกำลังพรีเซนต์อยู่ แผ่นดินไหวก็ไม่หยุดพรีเซนต์ พูดต่อจนจบแผ่นดินไหว The show must go on จริงๆ เข้าใปเช็คสภาพห้องแลป ห้องผมไม่ค่อยมีของอะไรมาก เลยไม่ค่อยมีอะไรเสียหาย

แลปชั้น 10
เพื่อนๆบางคนก็ไม่รู้หายไปไหน มารู้ทีหลังและเห็นจากวีดีโอที่เด็กญี่ปุ่นถ่ายเอาไว้ พอตึกเริ่มสั่นแรงครั้งแรก เด็กต่างชาติก็วิ่งหนีลงบันไดหนีไฟกันอย่างไม่กลัวตายกันเลย ในวีดีโอเห็นอาจารย์ตะโกนบอกว่าไม่เป็นไร ในตึกปลอดภัย แต่ ณ วินาทีนั้นไม่มีใครเชื่อฟังอาจารย์อีกต่อไปแล้ว เพื่อนคนแอฟริกาวิ่งปรู๊ดเดียวไปอยู่ลานหน้าตึกแล้ว คนญี่ปุ่นเค้าฝึกการรับมีไฟใหม้ แผ่นดินไหว ซินามิ มาตั้งแต่เด็ก เวลาแผ่นดินไหวหลบในตึกจะปลอดภัยมากกว่า เพราะถ้าอยู่นอกตึกอาจมีเศษกระจกแตกหรือป้ายกระเด็นมาใส่ตัวได้ แล้วให้เปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้ก่อนไปหลบใต้โต๊ะ ที่ต้องเปิดประตูหน้าต่างทิ้งไว้เพราะหลังแผ่นดินไหวอาจทำให้วงกบเบี้ยวแล้วจะออกมาข้างนอก หรือคนจะเข้าไปช่วยข้างในไม่ได้


กลับมาที่ห้องแลปต่อ อาจารย์บอกให้ทุกคนเก็บของกลับบ้านเลย แต่ผมยังกลับไม่ได้ อาจารย์บอกว่าเลื่อนมีตติ้งจากบ่ายสามเป็นบ่ายสามครึ่ง แต่ขอมีตติ้งกันที่ม้านั่งที่ลานหน้าตึก โอ้โห นี่ก็ยังจะมีตกันอีก ในตึกไม่อยากอยู่ มีตกันนอกตึกก็ได้ เหลือเวลาก่อนมีตติ้งมีเวลานิดนึง โทรกลับไทยบอกแม่ก่อนดีกว่า เหตุการณ์ขนาดใหญ่ขนาดนี้เดี๋ยวก็ต้องโทรมาถามแน่ๆ แล้วมือถือตอนนี้ใช้ไม่ได้แล้ว ยิ่งโทรไม่ติดยิ่งเป็นห่วงเข้าไปใหญ่ เลยหาทางพยายามติดต่อแม่ให้ได้ มือถือใช้ไม่ได้ก็ใช้โทรศัพท์ของแลปโทรแล้วกัน ก็โทรไม่ออกอีกเหมือนกัน เห็นโปรแกรม MSN ในคอมยังออนไลน์ได้อยู่แสดงว่าเน็ตยังใช้ได้ ก็เลยจะใช้ VoIP (โทรศัพท์ผ่านเน็ต) โทรหา แต่ไม่ได้เอาไมโครโฟนมาเลยโทรไม่ได้อีก เลยส่ง SMS ผ่านทางเน็ตให้แม่ (ส่งได้เฉพาะภาษาอังกฤษ) บอกว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ไม่เป็นอะไร มารู้ทีหลังว่าแม่ดันแปลผิดแปลถูก นึกว่าเรากำลังตกอยู่ในอันตรายเลยโทรกลับ แล้วโทรไม่ติดอีก ให้คนที่ไทยช่วยโทรก็โทรไม่ติด เลยยิ่งกังวลเข้าไปใหญ่ พอข่าวออกที่ไทยก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังติดต่อไม่ได้
แลปชั้น 10

พอมีตติ้งกับอาจารย์เสร็จก็กลับบ้าน ตอนแรกนึกว่าสภาพห้องคงต้องเละแน่ๆ แต่พอเปิดประตูเข้ามาดู เหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นเลย น่าจะเป็นเพราะห้องเล็กจนไม่มีที่จะให้ของหล่น โทรหาแม่ก่อนเลยจากคอมพิวเตอร์ มือถือก็ยังรับเข้าโทรออกใช้ไม่ได้ ใช้ได้แต่ส่งอีเมล์และ SMS แต่ก็ส่งออกยากมาก
ได้เมล์จากเจ๊จิว่ากลับบ้านไม่ได้ รถไฟไม่วิ่งก็เลยเมล์กลับไปว่าถ้ากลับไม่ได้ก็ให้มาอยู่ที่ห้องผมก่อนก็ได้ ตอนนั้นมืดแล้ว เจ๊ก็มาที่ห้อง ชวนไปสุมหัวกินสุกี้กันที่บ้านพี่ทิพ (เจ้าของร้านอาหารไทยที่อยู่ใกล้ๆมหาวิทยาลัย) อย่างน้อยก็ไม่อดอาหาร เย็นนั้นร้านค้าและห้างปิดเกือบหมด ร้านที่เปิดคนก็แน่นจนเข้าไม่ได้ เมล์ไปหาน้องอีกคนที่ไปทำไบต์ที่โยโกฮาม่า บอกว่ากลับบ้านไม่ได้ รถไฟไม่วิ่งเลยไปขึ้นรถบัส แต่คิวยาวมากต่อยังไงก็ไม่น่ากลับได้ แต่ยังโชคดีที่แฟนเพื่อนที่ทำงานจะขับรถไปส่ง ใช้เวลาพอสมควร รถติดมาก บางคนเดินกลับบ้านกัน พอเที่ยงคืนก็กลับมานอนที่ห้องกับเจ๊จิ

วันต่อมาห้างกับร้านอาหารก็ยังไม่เปิด ห้องผมก็ไม่มีอาหารอะไรเหลือนอกจากโอเด้งหนึ่งแพค เจ๊จิเลยจับโน่นผสมนี่ทำอาหารให้กิน โตเกียวกลายเป็นเมืองที่ขาดแคลนอาหารอยู่หนึ่งสัปดาห์ จะเข้าห้างก็ต้องต่อคิวให้เข้าได้เป็นรอบๆ ซื้อของก็จำกัดจำนวน ของบางอย่างไม่เหลือ ชั้นในซุปเปอร์ว่าง ไม่มีของเลยแม้แต่ชิ้นเดียว รถไฟก็ไม่วิ่งทั้งวันเหมือนเดิม จะไปไหนก็ต้องถามที่สถานีก่อนว่าจะกลับมาทันไม๊ ไม่น่าเชื่อว่ามหานครใหญ่ขนาดโตเกียวจะต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้ ผมชวนเพื่อนๆแล้วน้องๆมารวมัวกันที่ห้องผม เอาอาหารมาแชร์กินกัน
ชั้นวางของในซุปเปอร์ ของที่กินได้ถูกซื้อไปหมด

หลังจากแผ่นดินไหวก็มีข่าวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิม่าเสียหาย กลัวกันว่าจะควบคุมไม่อยู่ ข่าวก็ออกตลอดเวลา ซักสองสามวันหลังแผ่นดินไหวสถานการณ์โรงไฟฟ้าก็ดูแย่ลงไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่มันระเบิด ทุกคนในญี่ปุ่นก็เครียดไปตามๆกัน น้องสองคนจะต้องกลับไทยสิ้นเดือนพอดีต้องจ่ายเงินเลื่อนไฟลท์อย่างกระทันหันเพราะที่บ้านเป็นห่วง แต่ตอนนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่าข่าวไหนจริงข่าวไหนไม่จริง เพราะข่าวในญี่ปุ่นกับข่าวต่างประเทศรายงานไม่เหมือนกัน ยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่าญี่ปุ่นปิดข่าวเพื่อไม่ให้คนตื่นตระหนกหรือเปล่า รู้แต่ว่าอยากกลับไปสงบสติที่ไทยก่อน แล้วต้องกลับมาให้ทันรับปริญญาสัปดาห์หน้า

พี่ที่ได้ทุนกพ.โทรมาบอกว่าตอนนี้กพ.ประสานงานกับการบินไทยเปิดที่นั่งให้เด็กนักเรียน เป็นตั๋วเที่ยวเดียวราคาสี่หมื่นกว่าเยนซึ่งเป็นราคาที่พอรับได้ ให้จองทางโทรศัพท์แล้วไปจ่ายตังที่สนามบินแล้วขึ้นเครื่องได้เลย ผมก็ส่งชื่อไปพร้อมกับน้องๆ แล้วก็รีบไปทำ re-entry visa ที่กองตรวจคนเข้าเมือง เพราะถ้าไม่มี re-entry visa จะกลับเข้ามาในญี่ปุ่นอีกไม่ได้ ที่กองตรวจคนเข้าเมืองมีคนไปทำเอกสารเยอะมาก ต้องจัดคิวระบบพิเศษ เจอน้องคนไทยจะกลับเหมือนกัน กลับไฟลท์เดียวกัน แต่น้องเค้าไม่ได้ซื้อตั๋วผ่านกพ.เลยต้องเสียค่าตั๋วแสนกว่าเยน ตอนแยกกันก็บอกว่าเดี๋ยวพรุ่งนี้เจอกันบนเครื่อง พอกลับมาถึงบ้าน พี่ที่ได้ทุนกพ.โทรมาบอกว่าตั๋วไม่มีแล้ว แล้วที่จองไปล่ะ ก็ไม่ได้น่ะซิ งั้นก็ต้องหาไฟลท์อื่นกลับ เช็คทางเน็ต ไฟลท์เต็มทุกไฟลท์ ที่ว่างก็แพงจนไม่สามารถซื้อได้ พี่คนนั้นกับน้องอีกคนเลยต้องซื้อตั๋วไปลงสิงคโปร์ก่อน แล้วค่อยไปหาทางกลับเข้าไทยอีกทีที่นั่น เอาแค่ว่าออกจากญี่ปุ่นให้ได้ก่อน

เพื่อนต่างชาติบางคนที่ประเทศอยู่ไกลมากหรือกลับไม่ได้ก็หนีลงใต้กัน ไปนอนบ้านเพื่อนบ้าง ไปโดยไม่มีที่พักบ้าง ส่วนผมก็เริ่มตั้งสติใหม่อีกรอบ คนญี่ปุ่นยังไม่หนี (อาจเพราะไม่รู้จะหนีไปไหน) และเราก็เชื่อความรับผิดชอบของญี่ปุ่น เดี๋ยวก็คงจัดการได้ แล้วอาทิตย์หน้าก็รับปริญญา พ่อแม่ก็จองตั๋วจะมางานนี้แล้ว จะต้องมาวันเสาร์ ถ้ากลับก็อาจจะไม่ได้รับ อุตส่าห์เรียนมาแทบตายเพื่อจะใส่ชุดราชประแตนขึ้นไปรับปริญญา ก็เลยไม่กลับ (จริงๆก็เพราะหาตั๋วไม่ได้ด้วยแหละ) โทรถามพ่อแม่ว่าจะยังมาอีกไม๊ เพราะสายการบินให้ยกเลิกตั๋วหรือเลื่อนวันเดินทางได้ฟรี พ่อแม่ยังยืนยันว่าจะมา แถมบอกให้เลื่อนตั๋วให้มาเร็วกว่าเดิมด้วย แม่บอกว่าถ้าผมหนีออกมาไม่ได้ งั้นแม่จะไปอยู่กับลูกด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้นอย่างมากก็ตายพร้อมกัน รักแม่ที่สุดเลย

หลังจากที่โรงไฟฟ้าเสียหายไปแล้ว ไฟฟ้าก็เริ่มไม่พอใช้ ระบบไฟฟ้าในญี่ปุ่นแบ่งเป็นสองระบบ 50 และ 60 เฮิร์ซ ระบบนึงใช้ฝั่งญี่ปุ่นตะวันออก อีกระบบใช้ในญี่ปุ่นตะวันตก พอฝั่งตะวันออกไฟไม่พอใช้ ฝั่งตะวันตกไม่สามารถส่งไฟมาให้ทางตะวันออกได้เพราะระบบไม่เหมือนกัน ผมไม่ทราบข้อมูลทางเทคนิคเกี่ยวกับเรื่องไฟฟ้ากำลังมากนัก จึงเล่าไม่ได้ละเอียด พอไฟฟ้าเริ่มไม่พอใช้การไฟฟ้าก็ต้องดับไฟ ไม่เคยมีเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนในญี่ปุ่น ปกติต่อให้ฝนจะตก พายุจะเข้า ไฟฟ้าก็ไม่เคยดับเลย การดับไฟแต่ละโซนจะผลัดกันดับไฟ จะดับช่วงละสามชั่วโมง แต่ละวันจะเปลี่ยนช่วงการดับไฟ บางวันดับรอบเดียว บางวันดับสองรอบ ช่วงนั้นต้องเช็คเวปการไฟฟ้าตลอดว่าโซนเราจะดับช่วงไหน ถ้าวันไหนดับตอนกลางคืนนี่เซ็งมาก มืดก็มืด หนาวก็หนาว เทียนขาดตลาด เวลาไปทำงานต้องตะกายขึ้นลงสิบชั้นทุกวัน เอาอาหารกลางวันหิ้วขึ้นไปกินเลย ไม่ต้องลงมาจนกว่าจะกลับบ้าน
สภาพร้านเจ๊จิ

ช่วงหลังทางการประกาศว่าเขตโตเกียวบางเขตมีสารกัมมันตรังสีปนเปื้อนในน้ำปะปา แต่ยังไงมันก็ต้องใช้อาบ ซักผ้า ล้างจานอยู่ดี ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลย ประชากรในรัศมี 30 กิโลเมตรรอบโรงไฟฟ้าก็ถูกอพยพออกจากพื้นที่ ห้ามเข้าพื้นที่กี่สิบปีก็ไม่รู้ นอกจากนี้ยังมีอาสาสมัครที่จะต้องเข้าไปทำงานในโรงไฟฟ้าเพื่อซ่อมแซมไม่ให้การรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีเพิ่มขึ้นอีก ถึงรู้ว่าเข้าไปก็ตายแน่ๆ ก็ยังอาสาสมัครเข้าไปอีก น่านับถือจริงๆ

หลังจากวันที่ 11 มีนา ยังมีอาฟเตอร์ช๊อคตามมาอีกประมาณเกือบครึ่งปี เหตุการณ์ครั้งนี้สอนอะไรหลายๆอย่างให้ทั้งผมและคนญี่ปุ่นเหมือนกัน ช่วงคับขันขอให้ตั้งสติอย่างเดียว เดี๋ยวอะไรจะดีขึ้นเอง การเตรียมรับมือเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน มีเรื่องตลกเรื่อง ปกติคนญี่ปุ่นจะถูกฝึกให้รับมือกับภัยต่างๆมาตั้งแต่เด็ก เกิดเหตุการณ์จริงขึ้นมาเลยเอาตัวรอดได้ แต่คนญี่ปุ่นไม่เคยฝึกให้คนรับมือเวลาไฟดับ ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใช้ไฟฟ้าในอุปกรณ์ทุกอย่าง ตอนที่ต้องดับไฟ ไฟจราจรก็ไม่มี ที่จอดรถก็เอารถออกไม่ได้ คนญี่ปุ่นที่รู้จักเล่าให้ฟังว่าไฟดับเหรอน้ำยังไม่ตัดใช่ไม๊ งั้นแช่น้ำอุ่นดีกว่า แต่เค้าลืมนึกไปว่ามันไม่มีไฟฟ้าไปปั๊มน้ำขึ้นมา แล้วมันก็ไม่มีไฟฟ้าไปจุดแก๊สให้กับเครื่องทำน้ำร้อน ขนาดอาจารย์ในมหาวิทยาลัยยังเผลอ ไฟดับงั้นลงไปกดน้ำจากตู้ดื่มแก้เซ็งดีกว่า เลือกอยู่ตั้งนานว่าจะเอาน้ำอะไร พอหยอดเหรียญไปไฟไม่ติดถึงได้รู้ว่าไฟดับแล้วเครื่องกดน้ำใช้ไม่ได้ อันนี้ผมเห็นมากับตาตัวเองแล้วขำมาก

No comments:

Post a Comment