รถไฟชินคังเซนแปลเป็นภาษาไทยว่า “เส้นทางสายใหม่” เป็นของบริษัท Japan railways (JR) เริ่มมีใช้ในญี่ปุ่นปีค.ศ. 1964 เนื่องจากตอนนั้นญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิค เลยอยากนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ๆให้เกิดขึ้น ณ ช่วงนั้น เช่นการถ่ายทอดสดข้ามทวีปเป็นครั้งแรกของโลก รถไฟความเร็วสูง เป็นต้น ชินคังเซนเป็นรถไฟที่มีความเร็วสูงใช้วิ่งระหว่างจังหวัด เช่นรถขบวนโนโซมิจะวิ่งด้วยความเร็วประมาณ 300 กม./ชม. (เป็นความเร็วในการให้บริการ สามารถเร่งความเร็วได้มากกว่านี้ในการทดสอบ) วิ่งจากโตเกียวไปโอซาก้าในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่ง ถ้าเทียบกับเครื่องบินจะใช้เวลานานกว่าเล็กน้อย แต่ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางไปสนามบินนอกเมือง เช็คอินก่อน 2 ชั่วโมง กว่าจะออกมาจากสนามบินแล้วเข้าเมืองอีก ขึ้นชินคังเซนเร็วและสะดวกกว่าเยอะ ชินคังเซนจะไม่เหมือนรถไฟธรรมดา ทุกระบบของตัวรถและรางจะถูกออกแบบใหม่หมด รางที่ชินคังเซนวิ่งจะเป็นคนละรางกับรถไฟทั่วไป ความหรูหราภายในห้องโดยสารก็นับว่าเยี่ยมมาก ยิ่งถ้าเป็น gran class อย่างรถฮายาบุสะแล้วล่ะก็เปรรยบเสมืองชั้น first class ของเครื่องบินเลย ชินคังเซนถูกออกแบบมาให้รองรับกับสถานการณ์ทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นระบบละลายหิมะบนราง ระบบหยุดรถอัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินเช่นแผ่นดินไหว ฯลฯ ชินคังเซนเลยถือว่าเป็นยานพาหนะที่มีความปลอดภัยสูงมากกว่าเครื่องบินเสียอีก
ลงจากชินคังเซนแล้วมาต่อกันที่รถไฟธรรมดาบ้าง รถไฟแบบนี้ก็จะมีวิ่งระหว่างจังหวัดบ้าง (แต่ช้ามาก) วิ่งภายในเมืองบ้าง ที่อยากจะเล่าคือรถไฟที่วิ่งในเมือง โดยเฉพาะในโตเกียว รถไฟในโตเกียวก็มีหลายบริษัท เช่น JR, Metro รถใต้ดิน, และรถไฟสายเอกชน ระบบเน็ตเวิร์ครถไฟจะมีสายเอกชนหลายสายวิ่งจากรอบนอกเมืองทุกทิศทุกทางเข้าสู่ใจกลางกรุงโตเกียว ส่วนใจกลางกรุงโตเกียวจะมีสายหลักๆคือ JR Yamanote (ยามาโนเตะ) เส้นสีเขียว เป็นวงกลมรอบใจกลางเมือง และมีสาย JR Chuo (ชูโอ) เส้นสีส้ม วิ่งจากต่างจังหวัดเข้ามาในโตเกียวและผ่ากลางวงกลมยามาโนเตะ แล้วก็มีรถไฟใต้ดินหลายสายวิ่งทั่วใจกลางกรุงโตเกียว รถไฟใต้ดินก็สร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจนพื้อพรุนไปหมดแล้ว ชั้นใต้ดินของตึกใหญ่ๆในโตเกียวส่วนมากจะมีทางเชื่อมต่อไปยังสถานีรถใต้ดินได้ ย่านใหญ่เช่นชินจุกุจะมีเมืองอีกชั้นอยู่ใต้ดิน เวลาฝนตกหรืออากาศหนาวมากๆ เดินใต้ดินก็สามาถไปทะลุอีกที่นึงได้ ถ้ามีสายรถไฟสายใหม่เกิดขึ้นก็ต้องขุดให้ลึกลงไปกว่าสายเดิมอีก บางสายลึกเท่าตึกสิบชั้นเลยก็มีเช่นสายโอเอโดะ ใต้ดินของพื้นที่ใจกลางกรุงโตเกียวจะมีรถไฟวิ่งผ่านหมดยกเว้นพระราชวังอิมพีเรียลเท่านั้นที่ใต้ดินไม่มีรถไฟวิ่ง รถทุกสายจะต้องออกแบบให้อ้อมพระราชวัง
เวลาขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นก็มีมารยาทที่ควรปฏิบัติดังนี้ ไม่คุยหรือเปิดเพลงเสียงดังรบกวนผู้อื่น ห้ามคุยโทรศัพท์บนรถไฟ แต่เล่นเน็ตหรือส่งข้อความได้ ไม่ต้องลุกให้คนแก่หรือเด็กหรือผู้หญิงนั่ง คนแก่ที่อยากนั่งจะไปนั่งที่ Priority seat เอง เคยมีเพื่อนลุกให้คุณยายนั่ง โดนด่าด้วยสายตาว่าเห็นฉันแก่หรือไงเนี่ย ถ้าถือของพะลุงพะลัง ควรเอาของวางไว้ที่ชั้นเหนือศรีษะ ไม่ควรวางเกะกะกับพื้นยกเว้นของที่ยกขึ้นไปไม่ได้จริงๆเช่นกระเป๋าเดินทาง ไม่ควรนั่งกินที่
รถไฟญี่ปุ่นได้ชื่อเรื่องความตรงต่อเวลามาก ออกตรงเข้าสถานีตรงเวลาเป๊ะเว่อร์ ไม่มีมาถึงก่อนเวลาหรือออกช้าแม้แต่นาทีเดียว จะไปไหนก็หาจากอินเตอร์เน็ตก่อนว่าออกกี่โมงถึงกี่โมง สบายใจเรื่องเวลาได้เลยไม่ต้องกลัวว่าจะช้า จะไม่สามารถอ้างได้ว่ารถไฟมาช้าเด็ดขาด จะมีช้าก็ต่อเมื่อมีแผ่นดินไหว อุบัติเหตุ และคนฆ่าตัวตายบนรางรถไฟ ส่วนใหญ่ที่ช้าจะเป็นกรณีหลังสุดซะมากกว่า ถ้ามีเหตุการณ์รถไฟช้า ทางสถานีจะต้องออกเอกสารรับรองว่ามีเหตุทำให้รถไฟช้าจริงๆ สามารถใช้เอกสารนี้ยืนยันได้ เช่นถ้ามีสอบแล้วไปสายเนื่องจากเกิดเหตุแล้วมีเอกสาร ก็จะอนุโลมให้เข้าสอบได้
พูดถึงคนฆ่าตัวตายบนรางรถไฟ มีสถิติการฆ่าตัวตายแบบนี้ปีละ 33,000 คน เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในรถไฟที่ต้องหยุดวิ่งจะรู้สึกรำคาญมากกว่าเห็นใจ เหมือนว่าฆ่าตัวตายกันอีกแล้วหรือเนี่ย เป็นเหมือนสิ่งธรรมดาที่พบเห็นอยู่เป็นประจำ พอเกิดเหตุรถไฟจะหยุดวิ่งเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ และให้พนักงานสถานีรถไฟเก็บศพ (ญี่ปุ่นไม่มีมูลนิธิร่วมกตัญญูคอยเก็บศพ) ต้องรีบเคลียร์รางให้เร็วที่สุด ช้าไม่ได้เพราะยิ่งช้าบริษัทรถไฟยิ่งเสียหายเยอะ ในโตเกียวมีคนใช้บริการรถไฟประมาณวันละ 20 ล้านคนคนจะใช้บริการเยอะช่วง 7-9 โมงเช้า และหลังเลิกงานไปจนถึงรถเที่ยวสุดท้าย ถ้ามีคนฆ่าตัวตายตอนดึกๆ รถไฟอาจต้องหยุดวิ่งไปเลยสำหรับวันนั้นๆ ผู้โดยสารที่อยู่บนรถไฟก็ต้องกลับบ้านกันด้วยรถบัส หรือรถแท๊กซี่ รถบัสก็มีไม่มาก ยิ่งดึกยิ่งมีน้อย คนทุกคนเลยต้องกลัวแท๊กซี่ ค่าแท๊กซี่ก็แพงเหลือเกินนังกันทีเป็นพันบาท ถ้าบ้างไกลก็สองสามพันบาท แต่ค่าแท๊กซี่เราจ่ายตังไปก่อนแล้วเอาบิลไปเบิกที่สถานีของสายที่หยุดวิ่งวันรุ่งขึ้นได้ อันนี้ถือเป็นความรับผิดชอบที่ดีมากของระบบรถไฟ ที่บอกว่าเสียหายเยอะก็น่าจะเป็นเรื่องนี้แหละ คิดดูบริษัทรถไฟต้องจ่ายให้คนละเป็นพันบาท แล้วรถไฟขบวนนึงยาว 12 โบกี้ แล้วมีกี่ขบวนที่ต้องหยุดวิ่ง คิดไม่ออกเลยว่ามีกี่หมื่นกี่แสนคน เพราะฉะนั้นบริษัทรถไฟก็จะไปเก็บค่าปรับกับครอบครัวของคนที่ฆ่าตัวตายอีกทีนึง สายที่มีคนฆ่าตัวตายเยอะสุดคือสายที่วิ่งผ่ากลางวงกลม สายชูโอนั่นเอง สายนี้จึงมีชื่ออีกอย่างนึงว่า suicide line (สายฆ่าตัวตาย) มีคนตั้งข้อสังเกตว่ามี 2 สาเหตุก็คือ สายนี้จะเป็นสายที่วิ่งตรงและมีรถด่วนวิ่งเยอะ ทำให้รถวิ่งได้ด้วยความเร็ว รับประกันว่าตายชัวร์ อีกข้อนึงคือค่าปรับที่ครอบครัวต้องเสียให้บริษัทจะถูกกว่าสายอื่น แต่ถ้าใครที่ทะเลาะกับพ่อแม่แล้วฆ่าตัวตายก็จะไปฆ่ากันที่วงยามาโนเตะ เพราะอยู่ใจกลางเมือง ค่าปรับแพงมหาโหด
พูดเรื่องหวาดเสียวไปแล้ว มาพูดเรื่องแปลกๆของรถไฟมั่ง เรื่องที่คนในโลกนี้ได้ยินมาคงไม่พ้นเรื่องการผลักคนเข้ารถไฟ อันนี้คอนเฟิร์มว่าผลักกันจริง อย่างที่บอกว่าเวลาเร่งด่วนตอนเช้าคือ 7-9 โมง คนจะออกไปทำงานพร้อมๆกันทำให้รถไฟแน่นเป็นปลากระป๋อง (จริงๆปลากระป๋องยังมีเนื้อที่ให้ใส่เครื่องเทศได้เยอะกว่า) ถ้าเป็นที่อื่น แน่นก็รอขบวนต่อไปซิ แต่ขอบอกว่าขนาดรถยามาโนเตะมาทุกๆ 2 นาทีช่วงเวลาเร่งด่วนมันก็ยังแน่นอยู่เหมือนเดิม ถ้าจะรอไม่ให้แน่นก็คงต้องไปทำงานสาย รถไฟรุ่นใหม่ๆจะออกแบบเก้าอี้ให้พับเก็บได้ เวลาเร่งด่วนจะไม่มีเก้าอี้ให้นั่งนอกจาก priority zone (โซนสำหรับคนแก่ คนท้อง คนเจ็บ คนพิการ) เวลาเร่งด่วนนี้จะมีคนรอที่ชานชลาจนล้นไปอีกชั้นนึงก็มี เคยไปสถานีชิบุย่าตอนชั่วโมงเร่งด่วน บันไดเลื่อนต้องปิด เพราะคนล้นชานชลาขึ้นไปอีกชั้น กว่าจะลงไปได้ ที่ชานชลาจะมีเส้นเหลือเหมือน BTS ห้ามยืนล้ำเส้นเหลือง แต่เนื่องจากเวลานี้ที่ยืนไม่มีแล้ว เลยยืนเบียดๆจนล้ำเส้นออกมา จะมีเจ้าหน้าที่สถานีมายืนชิดขอบชานชลาเพื่อคอยกันคนไม่ให้โดนรถไฟ (แต่เจ้าหน้าที่เองก็อยู่ห่างจากรถไฟไม่ถึงคืบ) รถไฟที่วิ่งเข้าชานชลาเลยต้องวิ่งด้วยความเร็วที่ต่ำสุดๆ พอๆกับการเดินเพื่อไม่ให้เกิดอันตราย พอรถไฟเปิดประตู คนก็กรูกันเข้าไป แต่เนื่องจากข้างในตัวรถแน่นอยู่แล้ว คนข้างนอกจะเข้าไปก็ยาก พนักงานเลยต้องช่วยผลักเข้าไปในรถ และไม่ใช่ผลักแบบเบาๆ ผลักกันชนิดอวัยวะอาจเปลี่ยนที่ได้ ปกติผมชอบยืนตรงประตู จะได้ลงได้ง่าย แต่พอถูกผลักโครมเดียวจากตรงประตูมันเข้าไปอยู่กลางโบกี้ได้ไงไม่รู้ ไม่ต้องเดินเองเลย เหมือนตัวมันลอยตามกระแสไปเอง ตามสถานีต่างๆเลยมีอาชีพผลักคนเข้ารถ เป็นงาน part time ทำวันละ 2-4 ชั่วโมงช่วงเวลาเร่งด่วน ค่าตอบแทนประมาณ 250 บาทต่อชั่วโมง
เคยเห็นรถ BTS ที่ไทยเขียนว่า “ห้ามยืนพิงประตู” คงเกรงว่าประตูอาจไม่แน่นอาจหลุดออกมาได้มั้ง แต่ประตูรถไฟญี่ปุ่นเขียนว่า “ระวังประตูหนีบ” ความแข็งแรงของประตูรถไม่รู้ว่าให้หน่วยงานทหารออกแบบหรือไง เพราะมันต้องรับแรงดันมหาศาลจากคนที่อยู่ในรถ เหมือนฝาขวดน้ำอัดลมที่ต้องออกแบบให้รับแรงดันแก๊สในขวดได้ เรื่องประตูพังไม่กลัว กลัวแต่ประตูหนีบ เพราะคนจะเข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว นิ้วอาจโผล่มา หรือสายกระเป๋า ผ้าพันคออาจโผล่ออกมานอกตัวรถ
มีเทคนิคการขึ้นรถไฟปลากระป๋องไม่ให้เหนื่อย เวลารถออกตัวหรือเบรค อย่าไปฝืนกลัวว่าจะล้ม มันเหนื่อยเปล่าๆ เพราะแรงคนมหาศาลดันมา ต้านไม่ไหวอยู่แล้ว ยังไงก็ไม่มีทางล้มเพราะที่จะให้วางเท้าได้ครบทั้งสองเท้ายังไม่มี ที่จะให้ล้มก็ไม่มีเช่นกัน ถ้ารถเบรคก็ลู่ไปกับคลื่นมหาชน อ่านๆดูคงจะสงสัยใช่ไม๊ล่ะ แล้วถ้าอยู่กลางโบกี้จะลงยังไง คนญี่ปุ่นเค้าไม่แคร์กันอยู่แล้วครับ พอประตูเปิดก็ผลักๆแหวกๆออกมา คือทำยังไงก็ได้ให้เอาตัวออกมาให้ได้โดยไม่ต้องไปแคร์คนข้างๆ
เคยมีคนรู้จักมาเที่ยวญี่ปุ่น ก็เล่าเรื่องรถไฟปลากระป๋อง เค้าก็ฟังไปงั้นๆ แต่พอไปเจอเข้ากับตัวเองจริงๆ ทั้งโดนผลักอย่างแรง ผ้าพันคอก็ถูกหนีบอยู่กับประตูจะเอาออกก็เอาออกไม่ได้เพราะมันพันคออยู่ เบียดกันจนขยับแขนขาไม่ได้ หลังจากผ่านประสบการณ์นี้เค้าถึงสารภาพว่าตอนแรกคิดว่าผมพูดเว่อร์ อะไรมันจะขนาดนั้น เค้ายังถามด้วยว่าคนญี่ปุ่นเค้าไม่โกรธเจ้าหน้าที่เหรอว่ามาผลักฉันทำไม เลยตอบว่านอกจากไม่โกรธแล้วยังนึกขอบคุณที่ช่วยทำให้เค้าเข้าไปในรถไฟได้
เนื่องจากคนแน่นมากในเวลาเร่งด่วน จึงเกิดปัญหาการลวนลามในรถไฟตามมา ตอนเช้ากับตอนเย็นจะมีโบกี้พิเศษสำหรับผู้โดยสารหญิงโดยเฉพาะ อาจจะอยู่โบกี้หน้าสุด หรือหลังสุด เพราะฉะนั้นดูให้ดีๆก่อนขึ้นว่าขึ้นผิดโบกี้รึเปล่า จริงๆการลวนลามในรถไฟไม่ไม่เป็นอันตรายสำหรับผู้หญิงอย่างเดียว ผู้ชายก็ต้องระวังด้วยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่ระวังถูกลวนลามนะ ต้องระวังผู้หญิงกล่าวหาว่าลวนลาม มีอยู่หลายครั้งที่ผู้หญิงต้องการหาเงินพิเศษ เลยใช้โอกาสในรถไฟร้องว่าผู้ชายข้างๆลวนลาม ในเมื่อไม่มีใครเห็น ทุกคนก็ต้องคิดว่าผู้ชายคนนี้ลวนลามจริง ถูกเจ้าหน้าที่จับ ใช้เวลาขึ้นโรงขึ้นศาลนานเป็นปีๆ เสียชื่อเสียงอีก ถ้าใครอยากให้ถอนฟ้องก็ต้องจ่ายเงินตามที่ผู้หญิงเรียกร้อง กรณีแบบนี้มีหลายรายแล้ว แล้วถ้าไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าไม่ได้ลวนลาม ผู้ชายก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถึงกับหมดอนาคตกันเลยก็มีเพราะศาลจะเข้าข้างผู้หญิงมากกว่า ผู้หญิงได้สิทธิสตรีกันไปแล้ว อยากให้มีการเรียกร้องสิทธิบุรุษมั่งจังเลย คนญี่ปุ่นบอกผมว่าจะให้ปลอดภัย เวลาขึ้นรถไฟให้ชูมือสูงๆจับราวไว้ทั้งสองมือ กล้องในรถจะได้ถ่ายเห็นว่าเราไม่ได้ลวนลาม
พูดถึงสถานีรถไฟบ้างดีกว่า สถานีบางสถานีมีชานชลาหลายสิบ มีรถวิ่งเป็นสิบสาย มีทางออกเป็นร้อย ถ้าเราบอกเพื่อนว่าเจอกันที่สถานีชินจุกุนะ รับรองไม่มีทางได้เจอกันแน่นอน ต้องบอกว่าเจอทางออกทิศไหน ทางออกหมายเลขที่เท่าไหร่หรือหน้าตึกอะไร ที่ชอบอีกอย่างนึงก็คือ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้กับคนพิการที่ใช้ได้จริงๆ เช่นลิฟท์ หรือราวบันไดที่ยกรถเข็นได้ เจ้าหน้าที่ก็ดูแลดี ถ้าเป็นคนนั่งรถเข็น เจ้าหน้าที่ก็จะเข็นพาไปจนเข้าตัวรถ มีแผ่นปูระหว่างชานชลากับตัวรถ ในรถก็มีที่สำหรับรถเข็น เมื่อเจ้าหน้าที่ส่งขึ้นรถแล้วก็จะโทรศัพท์ไปบอกสถานีปลายทางที่ผู้โดยสารต้องการลง ที่ปลายทางก็จะมีเจ้าหน้าที่มารอรับที่หน้าประตูรถเพราะรู้ว่ารถจะมาถีงกี่โมงกี่นาทีแล้วอยู่ในโบกี้ไหน แล้วก็จะเข็นผู้โดยสารออกไปส่งนอกสถานี บริการดีเยี่ยมจริงๆ อีกอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ประจำแต่ละสายก็คือ เสียงเพลงตอนรถกำลังจะออก ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Hassha Melody (หัสฉะเมโลดี้) จะไม่ใช้เสียงอ๊อด หรือเสียงปิ๊ปๆๆๆ แต่ละสายจะมีเสียงเพลงที่ไม่เหมือนกัน อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรลองหาในยูทูปดูเอง
มีอีกเรื่องที่อยากเล่าให้ฟัง ไม่เกี่ยวกับรถไฟ แต่เป็นรถบัส ระบบการวิ่งรถบัสของญี่ปุ่นจะไม่เหมือนเมืองไทย รถบัสเมืองไทยจะวิ่งจากจุดใหญ่ๆไปจุดใหญ่ๆ เช่นจาก The Mall บางกะปิไปอนุสาวรีย์ชัย แต่ญี่ปุ่นรถบัสจะไม่วิ่งแบบนี้ เพราะการเชื่อมต่อระหว่างแหล่งชุมชนใหญ่มีรถไฟวิ่งหมดแล้ว ใช้รถไฟเร็วกว่าถูกกว่ารถบัส แต่รถบัสจะวิ่งจากจุดใหญ่เข้าไปหาจุดเล็กๆที่รถไฟเข้าไม่ถึง หรือถ้าวิ่งจากจุดใหญ่ไปจุดใหญ่ก็จะพยายามเข้าซอยเล็กซอยน้อยให้มากที่สุด มีครั้งนึงจะถ่ายคลิปวิธีขึ้นรถบัส ตอนนั้นอยู่สถานีโตเกียวกำลังจะกลับชินจุกุกัน บรรดาเดอะแก๊งก็บอกว่าให้ขึ้นรถบัสซิ สถานีใหญ่ๆทั้งคู่ต้องมีรถบัสวิ่งตรงอยู่แล้ว เลยไปถามพนักงานว่าจะต้องนั่งสายอะไร เค้าแนะให้ไปขึ้นรถไฟ เพราะรถบัสต้องไปหลายต่อนะ ขึ้นจากโตเกียวไปลงที่ไหนไม่รู้เป็นตำบลเล็กๆ แล้วต่ออีกสายจากที่นั่งเข้ามาชินจุกุอีกที
การขึ้นรถไฟในญี่ปุ่นจะรู้สึกว่ายากช่วงแรกๆ แต่สักพักก็จะชิน แล้วจะรู้สึกว่าเป็นระบบที่สะดวกและดีเยี่ยม
อ่านเพลินเลยครับ ขอบคุณครับ
ReplyDelete